xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยพลังอำนาจของ “อาวุธบินได้”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ S-400 จากรัสเซีย
เปิดฉากสัปดาห์นี้...ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปว่ากันเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์กันดีมั้ยท่าน!!! จะด้วยเหตุเพราะความ “คิดถึง” ที่มีต่อ “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ” ประจำ “เอเอสทีวี-ผู้จัดการ” ที่ออกจะหายเงียบไปในช่วงหลังๆ ไม่ได้เอาแคตตาล็อกอาวุธใหม่ๆ มากางให้เป็นที่ตื่นเต้น ฮือฮาเหมือนก่อนๆ หรือจะด้วยเหตุเพราะช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา อภิมหาพ่อค้าอาวุธระดับโลกอีกรายคือคุณน้ารัสเซีย ท่านได้จัดการส่งมอบอาวุธประเภท “จรวด” หรือระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “S-400” ไปให้กับประเทศตุรกีกันเป็นเรียบโร้ยย์ย์ย์ และก่อให้เกิดเสียงฮือฮา เกิดความฉุนฉิว กริ้วโกรธของคุณพ่ออเมริกาและองค์กรพันธมิตรทางทหาร อย่าง “นาโต” ชนิดหนักหน่วง รุนแรงมิใช่น้อย...

คือเรื่องของอาวุธประเภท “จรวด” นั้น...ถ้าลองย้อนยุค ย้อนอดีต ก็ต้องถือเป็นอาวุธเก่าแก่ระดับโบร่ำโบราณพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับชาวซีกโลกตะวันออก ไม่ใช่แต่เฉพาะพวกฝรั่งยุโรป ที่เริ่มรู้จักอาวุธชนิดนี้กันช่วงระยะไม่นาน แค่ประมาณ “สงครามโลกครั้งที่ 2” เท่านั้นเอง เพราะเรื่องของ “จรวด” หรือ “อาวุธบินได้” นั้น...ถ้าลองย้อนกลับไปเปิดเรื่องราวในคัมภีร์ “มหาภารตะ” และ “รามายณะ” ในยุค “พระเวทย์” ของคุณทวดอินตะระเดียเขาโน่นเลย ก็น่าจะพอเห็น “ร่องรอย” บางอย่าง ของอาวุธประเภทนี้ ที่ผู้เรียบเรียงคัมภีร์เขาเรียกว่า “Astras” ซึ่งถูกนำมาใช้ในการทำสงครามระหว่างพวกตระกูล “เการพ” และ “ปาณฑพ” เหนือสมรภูมิ “ทุ่งกุรุเกษตร” มาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหายังไม่ได้นุ่งกางเกง หรือยังไม่ทันใส่กางเกงหูรูดเอาเลยก็ว่าได้ หรือเป็น “อาวุธบินได้” ที่ถูกควบคุมด้วย “Mantras” หรือ “มนตรา” อาศัย “เสียง” หรือ “คำพูด” เป็นพยางค์ๆ หรือเป็นกลุ่มพยางค์แบบการท่องมนต์ ท่องคาถา อะไรประมาณนั้น เพื่อให้ “อาวุธบินได้” เหล่านี้ บินไปถล่มหัวกบาลฝ่ายตรงข้ามให้ต้องพินาศฉิบหายกันไปเป็นรายๆ...

จนมาถึงเมื่อยุค 200 กว่าๆ เกือบจะ 300 ปี...อาวุธทำนองนี้ก็ยังคงปรากฏอยู่ในหมู่ชาวอินตะระเดีย พอให้ถูกหยิบมาพูดถึงได้เหมือนกัน คือการใช้กระบอกไม้ไผ่ หรือกระบอกเหล็กบรรจุดินระเบิด โดยกองทัพของสุลต่าน “Tipu” ในระหว่างสู้กับกองทัพอังกฤษ ณ สมรภูมิ “Srirangapatna” ช่วงประมาณปี ค.ศ. 1792 โน่นเลย ประมาณคล้ายๆกับ “บั้งไฟ” บ้านเราอะไรทำนองนั้น ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทัพอังกฤษอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากจะว่ากันอย่างเป็นเรื่อง เป็นราว หรือเป็นระบบของอาวุธประเภทนี้แบบจริงๆ จังๆ โฉมหน้าของอาวุธบินได้อย่าง “จรวด” น่าจะปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์สงครามแบบเป็นระบบ หรือแบบจริงๆ จังๆ ก็น่าจะในช่วง “สงครามโลกครั้งที่ 2” นั่นแหละ เมื่อ “กองทัพนาซี” ของเยอรมนี เขาได้ประดิษฐ์คิดค้นอาวุธที่สามารถนำไปใช้ “ล้างแค้น” ถล่มกรุงลอนดอนของอังกฤษ ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง คืออาวุธที่เรียกๆ กันว่า “V-1 Flying Bomb” และ “V-2 Rocket” โดยคำว่า “V” นั้น...ว่ากันว่ามาจากคำว่า “Vergeltungswaffe” ในภาษาเยอรมัน อันเป็นคำเดียวกันกับคำว่า “Vengeance” หรือการล้างแค้น เอาคืน นั่นเอง...

แต่ “จรวด” ของเยอรมนียุคนั้น...ยังคงอาศัยระบบแบบง่ายๆ พื้นๆ ยกระดับจาก “บั้งไฟ” ขึ้นมาไม่เท่าไหร่ เช่น อาศัยระบบนำร่องแบบอัตโนมัติ ส่งจรวดให้ไปลงหัว ลงกบาลใครต่อใครได้แบบถนัดถนี่ ไม่ต้องเลี้ยวกลับมาเล่นงานนักเล่นบั้งไฟจนต้องบาดเจ็บ ล้มตายไปเอง เหมือนอย่างการแข่งขันบั้งไฟในบ้านเราในแต่ละฤดูกาล แต่หลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และ “นักวิทยาศาสตร์นาซี” ถูกกองทัพอเมริกันกว้านตัว ซื้อตัว ติดสินบนไม่ให้ต้องตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาอาชญากรสงคราม นำเอาไปใช้เป็นเครื่องมือของตัวเอง ในการต่อยอดพัฒนาอาวุธชนิดนี้ให้มีประสิทธิภาพ ศักยภาพร้ายแรงยิ่งๆ ขึ้นไป บรรดาอาวุธบินได้ประเภท “จรวด” หรือ “ขีปนาวุธ” ต่างๆ ก็เลยถูกยกระดับยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีระบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่ว่าระบบนำร่อง ระบบการบังคับการบิน ระบบเครื่องยนต์ ไปจนถึงระบบควบคุมหัวรบ ชนิดไม่ใช่แค่บินไป-บินมา บินข้ามหัวได้เฉยๆ แต่ยังสามารถเลี้ยวขวา-เลี้ยวซ้าย หลบเลี่ยง หลบรอดเรดาร์เข้าไปถล่มเรือรบ เครื่องบินโจมตี ไปจนถึงสามารถสกัดกั้นจรวดด้วยกัน ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากอาวุธ “Astras” ในคัมภีร์มหาภาระตะ ที่กำกับควบคุมไว้ด้วย “Mantras” หรือ “มนตรา” นั่นเอง...

และเมื่อมาถึงทุกวันนี้...ต้องเรียกว่า อาวุธบินได้อย่าง “จรวด” หรือ “ขีปนาวุธ” นั้น มันชักก้าวไกล-ไปไกลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดสามารถแปรเปลี่ยน “ศักย์สงคราม” ในสมรภูมิปัจจุบันได้ไม่น้อยทีเดียว อย่างเช่น ล่าสุด...ที่จรวด “Quds” และ “Barakah” ของกองทัพเล็กๆ กระจอกๆ อย่าง “กองทัพเยเมน” และ “กองกำลังกบฏฮูตี” ในเยเมน สามารถทำให้กองทัพของอภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุฯ และบรรดาประเทศพันธมิตรทั้งหลาย ต้องขนลุกขนตั้ง จนถึงขั้นพันธมิตรซาอุฯ อย่างประเทศ “ยูเออี” หรือสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ กำลังคิดประกาศ “ถอนตัว” จากการเข้าร่วม “สงครามเยเมน” กับซาอุฯ หลังจากที่ต้องเจอกับจรวด Quds1-2-3-4-5 หรือ Barakah 1-2-3-4-5 ฯลฯ รวมทั้งอาวุธบินได้อีกชนิดหนึ่ง คือเครื่องบินโดรน ไม่ว่า Samad-3 หรือ Qasef 2k บรรทุกระเบิด ไปถล่มใส่ฐานทัพทางทหาร โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไปจนถึงสนามบินนานาชาติ ชนิดจุกแล้วจุกอีก...

เช่นเดียวกับจรวดของอดีตนักรบกระจอกๆ อย่างพวก “เฮซบอลเลาะห์” ในเลบานอน และ “ฮามาส” ในปาเลสไตน์นั่นเอง จากเดิมที ไม่ว่ารบกันเมื่อไหร่ ปะทะกันเมื่อไหร่ มีแต่ต้องถูกกองทัพฝ่ายตรงข้าม อย่างกองทัพอิสราเอล ไล่บด ไล่บี้ ไล่ขยี้ ชนิดต้องตายแล้วตายอีก ไม่ต่างอะไรไปจากลิ่วล้อในหนังจีนอะไรประมาณนั้น แต่ถ้าว่ากันตามคำพูด คำให้สัมภาษณ์ของผู้นำขบวนการ “เฮซบอลเลาะห์” “นายHassan Nasrallah”ต่อสถานีโทรทัศน์ “Al-Manar” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือในช่วงวาระครบรอบ 13 ปี ของ “สงครามอิสราเอล-เลบานอน” ครั้งที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. ก็ด้วยอาวุธบินได้อย่าง “จรวด” ชนิดต่างๆ ที่พวก “เฮซบอลเลาะห์” ได้เพียรพยายามยกระดับพัฒนา นับจากปี ค.ศ. 2006 เป็นต้นมา เช่นเดียวกับพวก “ฮามาส” ในปาเลสไตน์ กำลังส่งผลให้ระบบป้องกันความมั่นคงของอิสราเอล “อ่อนยวบยิ่งกว่าใยแมงมุม” หรือทำให้ “กองทัพอิสราเอลเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตนเอง” จนถึงขั้นต้องยอมเจรจายุติการปะทะกับพวก “ฮามาส” มาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา และกลายเป็นเหตุปัจจัยอันทำให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกทางการเมืองในอิสราเอล จนตราบเท่าทุกวันนี้...

ส่วนจรวดระดับ “S-400” ของคุณน้ารัสเซียนั้น...ก็ยิ่งไปไกล ไปโลด ยิ่งกว่าจรวดพวกฮามาส พวกเฮซบอลเลาะห์ ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ใครก็ตามที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ เรื่อง “Why do countries want to buy the Russian S-400?” ของ “นายYarno Ritzen” นักหนังสือพิมพ์ชาวดัตช์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่างเป็นพิเศษ ในเว็บไซต์สำนักข่าว “Aljazeera” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็อาจพอหลับตานึกภาพได้บ้างว่า ทำไมถึงประเทศหนึ่งในสมาชิกนาโต อย่างไก่งวงตุรกี ไปจนถึงอินตะระเดีย กาตาร์ หรือแม้แต่พันธมิตรอเมริกาอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ ก็ตาม ถึงอยากได้จรวด “S-400” ของรัสเซียไว้ในครอบครองด้วยกันทั้งสิ้น...

คือถ้าสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คงเป็นเพราะว่า...ด้วยเหตุที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศชนิดนี้ มันประกอบไปด้วยจรวดที่มีพิสัยทำการทั้งระยะสั้น-ระยะกลาง-ไปจนถึงระยะไกล อันสามารถนำไปใช้ “ป้องกัน” หรือ “โจมตี” ต่อพลังอำนาจของกองทัพนาโต หรือกองทัพอเมริกัน ได้อย่างชะงัดเอามากๆ ชนิดแทบไม่ต่างไปจากการก่อให้เกิด “ดุลอำนาจ” ที่อาจนำไปใช้ต่อรอง รับมือกับการข่มขู่ รุกราน การแทรกแซงของคุณพ่ออเมริกา ได้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว ฉะนั้น...ตราบใดที่คุณพ่ออเมริกายังคงพยายามดำเนินวิเทโศบายด้วยการหันไปขู่ใครต่อใครต่อไปเรื่อยๆ การมีจรวด “S-400” ของรัสเซียเอาไว้ในมือ ก็น่าจะพอช่วยอะไรต่อมิอะไรได้มั่งไม่มากก็น้อย เอวัง...ก็จึงมี ด้วยประการละฉะนี้...แล...


กำลังโหลดความคิดเห็น