xs
xsm
sm
md
lg

ศาลจำคุกตลอดชีวิต"อ้อแอ้" ขนยาอีรูปการ์ตูนจากฮอลแลนด์เข้าไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

วานนี้ (13 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลข ดำ อย.1883/2561 ที่ พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.อัมพิกา หรือ อ้อแอ้ ปะติตัง อายุ 26 ปี ชาวจ.หนองคาย , น.ส.วรารัตน์ หรือ แอ๋ม จันทมาส อายุ 26 ปี ชาวกทม. และนายทรงพล ทมิยะ อายุ 34 ปี ชาวจ.นนทบุรี เป็นจำเลยที่ 1-3 ใน ฐานความผิดร่วมกันนำเข้า ยาอี ( 3,4 เมทิลลีน ไดออกซิเมทแอมเฟตามีน) ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายฯ ร่วมกันมียาอีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
อัยการยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.61 ระบุพฤติการณ์ ว่า ระหว่างวันที่ 4-8 มี.ค.61 จำเลยทั้งสาม ได้สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยจำเลยร่วมตกลงวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ ร่วมกันออกเงินซื้อยาอี จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อมาจำหน่ายให้ลูกค้าในประเทศไทย โดยจำเลยที่ 1-2 ทำหน้าที่เก็บรักษา ครอบครอง และขนลำเลียงยาอีเข้ามา โดยเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 61 จำเลยที่ 1-2 ได้เดินทางผ่านมาทางสนามบินสุวรรณภูมิ นำเอายาอี 5,731 เม็ด น้ำหนัก 2.658 กก. ที่บรรจุในกล่องอาหารสัตว์ ซุกซ่อนในกระเป๋าเป้สะพายหลัง ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง เอาเข้ามาในประเทศเพื่อจำหน่ายให้ลูกค้า โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมจำเลยที่ 1-2 ขณะนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนจำเลยที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ตามหมายจับ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 61
ชั้นพิจารณา น.ส.อัมพิกา จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนน.ส.วรารัตน์ และ นายทรงพล จำเลยที่ 2-3 ให้การปฏิเสธ โดยระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล จำเลยทั้งสามไม่ได้รับการประกันตัว
ทั้งนี้ ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสามมาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีเพื่อนและญาติกว่า 10 คน เดินทางมาร่วมฟังคำตัดสิน
ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบในคดีแล้ว โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ซึ่งเป็นชุดจับกุมมาเบิกความถึงรายละเอียดการจับกุม สอดคล้องต้องกันว่า ก่อนจะจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมหญิงคนหนึ่ง ชื่อลูกเกด ซึ่งมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ในจำนวนนั้นมียาอี ส่วนหนึ่ง เมื่อสอบสวนขยายผลทราบว่าได้
ติดต่อซื้อยาอีจาก น.ส.อัมพิกา จำเลยที่ 1 ผ่านโปรแกรมแชต LINE เมื่อตรวจสอบการสนทนาในไลน์ ก็พบว่า จำเลยที่ 1 แจ้งว่า จะนำยาอีจากประเทศเนเธอร์แลนด์มาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายให้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 โดยตรวจสอบกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ในการเดินทางเข้าออกประเทศ จนทราบข้อมูลว่า จำเลยที่ 1 กำลังจะกลับเข้ามาในประเทศไทย จึงได้ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อติดตามดูพฤติการณ์ ก็พบว่าจำเลยที่ 1 เดินทางมาพร้อมกับ จำเลยที่ 2 โดยช่วงที่ไปรับกระเป๋าเดินทาง ก็มีท่าทางระแวดระวัง ระหว่างนั้น จำเลยที่ 1 ได้นำกระเป๋าเป้สะพายลายทหาร ออกจากกระเป๋าเดินทางมาสะพายหลัง แล้วเดินออกมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สะกดรอยตามพร้อมแสดงตัว เพื่อตรวจค้นและจับกุม โดยการตรวจค้นกระเป๋า พบซุกซ่อนยาอีปะปนอยู่ในอาหารแมว ที่ใส่ไว้ในกล่องอาหาร โดยในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 รับว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2-3 นำเงินมาซื้อยาอี จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจำเลยที่ 1-2 ลงทุนคนละ 100,000 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน 80,000 บาท ขณะที่การเดินทางก็จะแวะเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายจับจำเลยที่ 3 และจับกุมตัวได้ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.61
เมื่อพิจารณาคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะจับกุมแล้วเชื่อว่า เบิกความตามข้อเท็จจริงที่ได้รู้เห็นซึ่งเบิกความสอดคล้องกันเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 แล้ว ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย น.ส.อัมพิกา จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง
ส่วนน.ส.วรารัตน์ จำเลยที่ 2 แม้ในชั้นสอบสวน น.ส.อัมพิกา จำเลยที่ 1 จะให้การว่าร่วมลงทุนด้วยกัน แต่คำเบิกความนั้นก็เป็นลักษณะพยานบอกเล่าที่จะต้องนำสืบและรับฟังร่วมกันพยานอื่น ซึ่งโจทก์ไม่มีพยานอื่น คงมีเพียงข้อมูลที่พบว่า จำเลยที่ 2 เดินทางร่วมมากับจำเลยที่ 1 โดยชั้นพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ระบุว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การเกี่ยวกับข้อมูลตนเองเท่านั้นไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งชั้นนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ได้อ่านบันทึกคำให้การให้จำเลยที่ 2 ฟัง พยานหลักฐานโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 นี้จึงยังมีเหตุสงสัยตามสมควรจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยที่ 2 เช่นเดียวกับ นายทรงพล จำเลยที่ 3 ที่คงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 3 เคยร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 ช่วงเดือน ก.ค. 60 เท่านั้น แต่ก็ไม่มีการดำเนินการจับกุมในขณะนั้น
ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา จึงรับฟังได้เฉพาะน.ส.อัมพิกา จำเลยที่ 1 ว่า นำเข้ายาอี ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายฯ และมียาอีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.มาตการในการปราบปรามผู้กระทำ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานนำเข้ายาอี เข้ามาจำหน่าย ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้ตลอดชีวิตและให้ริบของกลางไว้ทั้งหมด
ส่วน น.ส.วรารัตน์ และนายทรงพล จำเลยที่ 2-3 พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 มี.ค.61 พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส.ได้แถลงข่าวจับกุม น.ส.อัมพิกา หรืออ้อแอ้ ปะติตัง, น.ส.วรารัตน์ หรือแอ๋ม และ นายทรงพล ทมิยะ ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ในข้อหาลักลอบจำหน่ายยาอีชนิดใหม่ รูปตัวการ์ตูน ซึ่งนำมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน นักศึกษา เมื่อเสพเข้าไป จะออกฤทธิ์ให้มีความรู้สึกเพลิดเพลิน และกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และถือเป็นเรื่องภัยคุกคามทางเพศ กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเมืองไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น