xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วย...วิกฤตทางปัญญา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ไหนๆ ก็ว่ากันเรื่อง “โลกทั้งใบ” ซึ่งกำลังอาจต้องเจอกับ “วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ” ภายในช่วงอีกไม่กี่สิบปีไปแล้วเมื่อวานนี้...วันนี้ก็เลยคงต้องขออนุญาตไปว่ากันเรื่อง “วิกฤตทางปัญญา” หรือ “Intelligence Crisis” ที่ว่ากันว่า กำลังแพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลก ไม่เว้นประเทศรวย ประเทศจน ประเทศพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา จนอาจส่งผลให้อนาคตโลก ต้องออกไปทาง “อนาคตไหม้” เอาง่ายๆ!!!

คือเผอิญว่า...ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ไปอ่านเจอข้อเขียน บทความของนักเขียน นักวิเคราะห์การเมือง ธุรกิจ และการลงทุนชื่อดัง ผู้ใช้นามปากกาว่า “Tyler Durden” หรือผู้มีชื่อจริงว่า “นายDaniel Ivandjiiski” นักคิด นักเขียน และอดีตนักลงทุนทางการเงิน การธนาคาร ชาวอเมริกันเชื้อสายบัลแกเรีย ที่เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ “Zero Hedge” อันเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ติดตามระดับไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ติดอันดับ 9 ในจำนวน 25 อันดับของเว็บไซต์ทางการเงิน ที่นิตยสารไทม์ แมกกาซีนเคยจัดอันดับเอาไว้ เป็นบทความที่ให้ชื่อไว้ว่า “The World Is Getting Increasingly Dumber, Study Finds” หรือ “จากการศึกษาพบว่า...โลกกำลังเต็มไปด้วยผู้ที่โง่ลงๆ เพิ่มขึ้นๆ” อะไรประมาณนั้น...

ซึ่งโดยข้อเขียนของ “นายIvandjiiski” หรือ “Tyler Durden” นั้น...ได้ไปหยิบเอารายงานการศึกษาและวิจัยของผู้อำนวยการองค์กรเอกชน อย่าง “FCLT Global” คือ “นายEvan Horowitz” ที่เผยแพร่เอาไว้ในเว็บไซต์ชื่อว่า “Think” ของสำนักข่าว “NBC News” นั่นแหละ มาเผยแพร่ต่อ อันมีเนื้อหาโดยสรุปรวมๆ ประมาณว่า...จากการศึกษาและวิจัยอย่างเป็นระบบภายในประเทศยุโรปหลายต่อหลายประเทศ ที่ต่างได้ชื่อว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศในสแกนดิเนเวีย ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย ไปจนถึงอเมริกา ฯลฯ ต่างพบแนวโน้มที่กำลังเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือบรรดาประชากรในประเทศเหล่านี้ทั้งหลาย กำลังมีอาการ...โง่ลงๆ หรือระดับ “IQ” ของผู้คนกำลังเสื่อมลงๆ อย่างมีนัยสำคัญ ชนิดที่ตัว “นายEvan Horowitz” ถึงกับสรุปไว้ในรายงานว่า ภาวะ “วิกฤตทางปัญญา” หรือ “Intelligence Crisis” ที่ว่า อาจกลายเป็นตัวบ่อนเซาะขีดความสามารถในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และเป็นตัวสร้างความหม่นมัวต่อความหวังในการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่เสียดาย...ที่ในรายงานของ “นายEvan Horowitz” หรือในข้อเขียนของ “Tyler Durden” ก็ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ให้แจ่มชัด ว่าอาการ “โง่ลงๆ” ของผู้คนไม่ว่าในยุโรป อเมริกา หรืออาจทั่วทั้งโลกนั้น มีสาเหตุ เหตุปัจจัยมาจากอะไรกันแน่??? โดยสรุปรวมๆ เอาไว้ในหลายๆ “ทฤษฎี” ด้วยกัน เช่น อาจด้วยเหตุคล้ายๆ กับหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งซึ่งเคยออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2006 คือเรื่อง “Idiocracy” หรือที่บ้านเราใช้ชื่อว่า “อัจฉริยะผ่าโลกเพี้ยน” อะไรประมาณนั้น หรือเหตุเพราะครอบครัวที่มี “ยีนโง่” ดันออกลูกออกหลาน ออกมาแบบยั๊วะๆ เยี๊ยะๆ โลกทั้งโลกเลยพลอยต้องโง่ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่น่าคิดน่าสะกิดใจ และน่าสนใจไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นทฤษฎีที่มี “ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์” รองรับเอาไว้ตามสมควร หรือเป็นทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญในเรื่องยีนและดีเอ็นเอภายในร่างกายมนุษย์ ระดับชั้นแนวหน้าของโลก หรือระดับเคยคว้ารางวัล “National Academy of Sciences” มาแล้ว นั่นก็คือ “ดร.Gerald Crabtree” แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เคยสรุปเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โน่นเลย ว่าอาการโง่ลงๆ ของมวลมนุษย์ทั้งหลาย น่าจะมีที่มาจากบรรดาความก้าวหน้าของสิ่งที่เรียกว่า “เทคโนโลยี” นั่นแหละ เป็นสำคัญ...

ในรายงานเรื่อง “ความเปราะบางทางสติปัญญาของเรา” (Our fragile intellect) ที่นักวิทยาศาสตร์รายนี้ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. 2013 พยายามพูดเอาไว้แบบกว้างๆประมาณว่า ด้วยความสะดวกสบายอันเนื่องมาจาก “เทคโนโลยี” สมัยใหม่ในยุคหลังๆนั่นเอง ที่ทำให้การดิ้นรนหรือ “แรงคัดเลือกตามธรรมชาติ” ซึ่งมีอยู่ในยีนประมาณ 2,000-5,000 ตัวของมนุษย์ในยุคหลังๆ มันค่อยๆ เกิดอาการลดลง หรือ “กำลังมีลักษณะลาดเอียงไปสู่ทางลง ไม่ต่างไปจากการไต่ระดับลงมาจากเนินเขา” อะไรทำนองนั้น แต่ที่อาจ “ลงลึก” กว่านั้นไปอีก คือบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่พยายามเจาะลึกถึงผลกระทบทางสติปัญญาของมนุษย์ อันเนื่องมาจากเทคโนโลยียุคใหม่ล่าสุด อย่างเทคโนโลยีสื่อสารอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ที่ต้องอาศัย “คลื่นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า” (Electromagnetic Radiation) เป็นตัวนำพา ที่เคยนำเสนอรายงานการวิจัยเอาไว้หลายชุด หลายฉบับ เช่น รายงานที่เรียกย่อๆ ว่า “REFLEX” โดยนักวิทยาศาสตร์ยุโรป จากห้องทดลอง 12 แห่งในหลายต่อหลายประเทศ หรือรายงานเรื่อง “Environmental Health Perspectives” ที่อาศัย “สมองหนู” เป็นเครื่องทดลอง โดยการปล่อยรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในตัวหนูประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วพบว่าเกิดการหลั่งสาร “อัลบูมิน” กระจายไปทั่วบริเวณเปลือกสมอง กลีบขมับ หรือสมองส่วนที่เป็นตัวควบคุมความเคลื่อนไหว การเห็น การได้ยิน และความทรงจำ จนเกิดข้อสรุปว่าบรรดาเทคโนโลยีเหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรควิตกจริต ไปจนถึงโรคเนื้องอกในสมอง ฯลฯ โน่นเลย...

แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุ เหตุปัจจัยใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย เกิดความเชื่อเพิ่มขึ้นๆ ว่ามวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังโง่ลงๆ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องเก็บเอามาคิด มาเป็นข้อสะกิดใจเอาไว้มั่ง เพราะมันคงไม่แต่เพียงส่งผลให้ความหวังต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ต้องเกิดอาการหม่นหมอง หม่นมัว เหมือนอย่างที่นักวิจัยทางเศรษฐกิจ อย่าง “นายEvan Horowitz” แกตั้งข้อสังเกตเอาไว้เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการเมือง การปกครอง สังคม วัฒนธรรม ประเพณี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์ คงหนีไม่พ้นต้องหม่นหมอง หม่นมัว ตามไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ยิ่งถ้าหากต้องเจอกับ “มนุษย์รุ่นใหม่” หรือ “คนรุ่นใหม่” ประเภทที่ชอบ “อวตาร” อยู่ตามเว็บไซต์ ตามเพจโน่น เพจนี่ ตามเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทิวบ์ ฯลฯ จนสาร “อัลบูมิน” อาจคั่งไปทั่วทั้งสมองไปแล้วก็เป็นได้ โอกาสที่จะ “อนาคตไหม้” กันไปทั้งสังคม ทั้งประเทศ ย่อมมีความเป็นไปได้มิใช่น้อย...

ดังนั้น...ถ้าหากจะถามว่า แล้วอะไรคือ “ทางออก-ทางไป” หรือ “ทางรอด” สำหรับภาวะความโง่ลงๆ หรือ “วิกฤตทางปัญญา” ที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งโลก ตามข้อมูลการวิจัยของบรรดานักวิจัยรายแล้ว รายเล่า นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบภาวะดังกล่าว อย่าง “ดร.Gerald Crabtree” ท่านก็พยายามให้ “คำตอบ” เอาไว้น่าสนใจไม่น้อย คือด้วยคำพูดที่สรุปไว้ว่า... “เราต้องเริ่มต้นเผชิญปัญหาดังกล่าว ด้วยการยอมรับความจริงว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับวิกฤตดังกล่าว หนีไม่พ้นต้องอาศัยการฟื้นฟูความดีงามในหมู่มนุษย์ หรือการอาศัย...ศีลธรรม...นั่นเอง นี่แหละคือทางออกที่ดีที่สุด...” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ก็คงอันเดียวกันกับที่ “นักการศาสนา” อย่าง “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ท่านได้ใช้เป็นมอตโต คำขวัญมานานแล้วนั่นแหละว่า “หากศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ” นั่นแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น