xs
xsm
sm
md
lg

นี่สิ : The Art of the Deal

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
หนังสือขายดีของทรัมป์ชื่อ The Art of the Deal (ก่อนเป็นดารานำในรายการ Reality Show ชื่อ The Apprentice ของช่อง NBC) ทำให้ผู้คนถูกชักนำให้เชื่อว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่นประสบผลสำเร็จมหาศาล ทั้งๆ ที่โครงการหลายโครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาล่มอย่างไม่เป็นท่า เช่น กาสิโกชื่อ ทัชมาฮาล ฯลฯ เพราะขยายกิจการมากเกินไป จนถึงต้องขอพิทักษ์ทรัพย์ในม. 11 มากกว่า 3 ครั้งในการทำธุรกิจของเขา และรวมทั้งต้องปิดกิจการในเครืออีกหลายอย่างที่ประสบความล้มเหลว-ไม่ว่าจะเป็นสายการบินทรัมป์, เนื้อสเต๊กทรัมป์; น้ำดื่มทรัมป์, ทรัมป์-U ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ทางสถานี CNN กำลังเผยแพร่สารคดีเรื่องธุรกิจของทรัมป์ที่ส่วนใหญ่ล้มเหลว หรือมีการตบตาผู้ซื้อที่ตกหลุมลูกไม้เล่ห์เหลี่ยมของทรัมป์-ไปซื้อห้องหรูในโครงการของเขาโดยถูกหลอกว่า-เป็นโครงการขายดิบขายดี; จนในที่สุดก็ไม่ได้มีการลงมือก่อสร้างจริงๆ-ทำให้ผู้ลงทุนต้องสูญเสียเงินทองและโอกาส; และได้ฟ้องร้องเรียกเงินคืน (ได้กลับมาบางส่วน) จากทรัมป์ และหลายคดีที่ถูกหลอกลวงยังค้างอยู่ที่ศาลก็ยังมี

ทั้งหนังสือและรายการทีวีมีความเกี่ยวข้องกันคือ ทรัมป์เป็นตัวแสดงที่เป็น host และเล่นบทแข็งกร้าวที่จะฟันผู้เข้าร่วมรายการอย่างถึงพริกถึงขิงไม่ไว้หน้าทั้งสิ้น คือวิจารณ์อย่างเลือดไหลซิบๆ โดยเน้นให้ผู้ร่วมรายการ (ที่สมัครเข้ามาแข่ง) ต้องใช้ความแข็งกร้าวในการเจรจาทางธุรกิจตลอดเวลา

เขามักเทหมดหน้าตัก-เพื่อกดดันคู่เจรจาหรือฟาดฟันคู่เจรจาจนเลือดอาบ-ซึ่งถ้าคู่เจรจาทนไม่ไหวก็จะยอมถอย แล้วทรัมป์ก็ถึงจะยอมเจรจาด้วย

วิธีการเจรจาของเขานี้ก็เข้าทางของฝ่ายรีพับลิกันที่มีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า แตกต่างกับฝ่ายเดโมแครต คือ ทางรีพับลิกันจะโจมตีก่อนแล้วค่อยเจรจา ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตจะเจรจาก่อน-ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วค่อยโจมตี

ฝ่ายรีพับลิกันมองว่า โอบามาอ่อนแอ เพราะจะต้องเจรจาก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ซีเรียถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีฆ่าฝ่ายศัตรูทางการเมือง รวมทั้งกรณีของอิหร่าน หรือคิวบา ที่ทรัมป์เข้ามาก็ฉีกสัญญาที่โอบามาไปทำไว้แล้ว เพราะเขาจะข่มขู่ก่อนเพื่อขอทำสัญญาใหม่ที่อเมริกาจะต้องได้มากกว่าที่โอบามาได้มาจากการเจรจา

รวมทั้งเกาหลีเหนือสำหรับทรัมป์ก็คือ ข่มขู่กรรโชกสุดๆ แล้วค่อยเจรจา (เมื่อเกาหลีเหนือคล้อยตามคำแนะนำของเกาหลีใต้ที่จะหยุดทดลองชั่วคราวทั้งนิวเคลียร์ และขีปนาวุธ)

แต่ก็ทำเอาโลกต้องตึงเครียดมากเมื่อทรัมป์ข่มขู่กรรโชก ทั้งเกาหลีเหนือและอิหร่าน (ขณะนี้) ซึ่งหลายคนก็มองว่า ทรัมป์เป็นไม้หลักปักเลน เพราะเมื่อขู่เสร็จ ก็กลับมาโอบกอด เหมือนนิยายน้ำเน่าทางจอทีวีของไทย คือ ตบ-จูบๆ ซึ่งเห็นชัดในกรณีเกาหลีเหนือ และกำลังจะเห็นในกรณีอิหร่าน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

มาดูวิธีการเจรจาของขิงแก่ดร.เอ็ม ผู้พลิกฟ้าเมื่อชนะการเลือกตั้งสกปรกของรัฐบาลนาจิบมาอย่างเหลือเชื่อ

แม้วัยจะ 93 ปีอยู่ในวัยชรา แต่วิธีการเจรจาน่าสนใจมาก เป็นวิธีที่ขอความเห็นใจ, นิ่มนวล ไม่แข็งกร้าว แต่ก็มีความเด็ดขาดและมีศักดิ์ศรี ไม่โลเลกลับกลอกหรือผ่อนปรนจนกลับ 180 องศาอย่างทรัมป์

นั่นคือ โครงการรถไฟ 2 โครงการยักษ์ อันแรกเป็นสาย Hi-Speed Rail เชื่อมกัวลาลัมเปอร์กับสิงคโปร์ ซึ่งเขาได้ประกาศว่าจะยกเลิกเพราะราคาแพงมาก และจะไม่คุ้มการลงทุน นำมาสู่การเจรจาที่ทำให้ราคาต้องลดลง

อีกโครงการเป็นรถไฟสายตะวันออก (East Coast Rail Link) ที่ดร.เอ็ม ได้ไปเจรจากับทางจีนว่า เป็นโครงการที่แพงมาก (กู้เงินจากจีนมาลงทุนในโครงการหนึ่งแถบ-หนึ่งเส้นทาง) และดร.เอ็มขอให้จีนเห็นใจประเทศเล็กๆ อย่างมาเลเซียที่กำลังมีหนี้ท่วม (จากรัฐบาลนาจิบ ที่มีแต่กู้ๆๆ มาทำโครงการต่างๆ-หลายโครงการไม่โปร่งใสในเรื่องค่าตอบแทนการลงทุน) เขาเทียบช่วงที่จีนอยู่ใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก เช่น อังกฤษ และฝรั่งเศส กับการลงทุนต่างๆ ที่ถูกบังคับ แล้วในที่สุดจีนจ่ายหนี้ไม่ไหวก็ถูกเจ้าหนี้ยึดโครงการไป ซึ่งดร.เอ็มหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำที่แสลงใจคือ... กับดักหนี้ (Debt Trap) ซึ่งรองปธน.ไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐฯ กำลังโพนทะนาให้ทุกๆ ประเทศระวังจะถูกจีนหลอกเพื่อครอบงำอิทธิพลในการปล่อยกู้ในโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง แล้วในที่สุด โครงการต่างๆ ก็จะหลุดมือจากผู้กู้ไปสู่ผู้ให้กู้คือ จีน นั่นเอง

ดร.เอ็ม เจรจาต่อรองกับจีนจนโครงการรถไฟสายตะวันออกนี้ลดราคาถูกลงถึง 30% ก็น่าเทียบกับโครงการของไทยที่จะเชื่อมกับจีนว่า ทำไมราคาของเราไม่ถูกลงแบบที่ดร.เอ็มเจรจา

ล่าสุด ยังมีเรื่องขยะพิษ ที่รัฐบาลนาจิบได้ยอมเปิดให้นักลงทุนมาทำกิจการรับซื้อขยะจากต่างประเทศเพื่อมาแยกแยะ และรีไซเคิลโลหะต่างๆ ทั้งๆ ที่จีนภายใต้ปธน.สี ได้ประกาศห้ามเด็ดขาดในการนำขยะพิษ (ทั้งพลาสติก, กระดาษ, โลหะ, สินค้าขยะไอทีทั้งหลาย) แล้วนักลงทุนจีนก็แห่กันมาเปิดกิจการในมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย ทำให้แผ่นดินและแม่น้ำลำคลองของเราเป็นพิษกระทบต่อระบบชลประทาน และเรือกสวนไร่นาของเรามากขณะนี้

ดร.เอ็ม ได้ประกาศห้ามนำขยะพิษเข้าประเทศ และขยะพิษที่ส่งมาจากต่างประเทศก็ต้องส่งกลับทั้งสหรัฐฯ แคนาดา, ประเทศในยุโรป, แม้แต่ซาอุฯ รวมทั้งจีนก็ถูกดร.เอ็ม เจรจาว่าจะนำขยะพิษเหล่านี้ส่งกลับไปทิ้งยังน่านน้ำของประเทศที่ส่งมา ถ้าไม่มารับกลับไป ตอนนี้ส่งขยะพิษกลับไปแล้วกว่า 7 พันตัน

ปธน.ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ก็ประกาศเรียกทูตกลับจากแคนาดา เพราะรัฐบาลของนายกฯ ทรูโดโอ้เอ้ไม่นำพาต่อการขอร้องของดูเตอร์เต โดยอ้างว่า ขยะพิษนั้นเป็นของบริษัทเอกชนของแคนาดา รัฐบาลไม่สามารถกดดันเอกชนได้ ก็เลยโดนดูเตอร์เตใช้ไม้ขาด เรียกทูตกลับ และขู่จะขนขยะพิษ (ที่สำแดงสินค้าผิดจากความจริง-โดยสำแดงว่า ไม่ใช่ขยะพิษ แต่เป็นของใช้มือสองอุปกรณ์ในครัว!) ที่ตกค้างหลายปีนี้ กลับไปทิ้งในเขตน่านน้ำของแคนาดานั่นแหละจึงได้ผล

และยังมีการกดดันจากสหรัฐฯ เรื่องหัวเว่ย ซึ่งดร.เอ็ม ก็ออกมาประกาศว่า ทางมาเลเซียจะเดินหน้าซื้ออุปกรณ์และระบบ 5G จากหัวเว่ยเพราะทันสมัยกว่าของสหรัฐฯ และราคาก็ไม่แพง

ดร.เอ็ม บอกว่า เพื่อผลประโยชน์ของมาเลเซียจะไม่กลัวว่า ความลับของมาเลเซียจะถูกดักฟังจารกรรมจากจีน เพราะมาเลเซียเป็นประเทศที่เล็กๆ ไม่มีความลับอะไรมากมาย ขอให้สหรัฐฯ เห็นใจการเลือกซื้อหัวเว่ย

ดร.เอ็มยังไม่วายที่ชี้ชัดลงไปเลยว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ระบบไอที 5G ของจีนก้าวหน้ากว่าของสหรัฐฯ และก็เช่นเดียวกับอีก 30 กว่าประเทศ ทั้งในยุโรปเหนือ และอื่นๆ ที่ตัดสินใจใช้ระบบ 5G ของหัวเว่ย เพราะรัฐบาลเหล่านั้นมองว่า เขาสามารถควบคุมระบบ 5G ไม่ให้สอดแนมได้-เพราะยังไงระบบของสหรัฐฯ ก็สามารถสอดแนมได้เช่นกัน

กำลังโหลดความคิดเห็น