**ต้องยอมรับกันในระดับหนึ่งว่า การที่ "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการเอาชนะ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย ไปด้วยคะแนน 258 ต่อ 235 เสียง ถือว่าเหมาะสม และเป็นหลักประกันมาตรฐานให้กับสภาผู้แทนฯ รวมไปถึงตำแหน่งประธานรัฐสภา ในอนาคตได้ไม่น้อย
ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ และประสบกาณ์การดำรงตำแหน่ง รวมไปถึงประวัติการเป็นผู้แทนราษฎรมาอย่างยาวนาน เป็นเครื่องการันตีได้อย่างดี
แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะมีการมองกันว่า การก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของ "ชวน หลีกภัย" ในครั้งนี้ จะเป็น "เกมการเมือง" ในระดับ "เขี้ยว"เพื่อเพิ่มแรงกดดัน และต่อรองกลับไปที่พรรคแกนนำในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ได้อีกชั้นหนึ่ง เพราะหนึ่งการเสนอชื่อ ชวน หลีกภัย เข้ามาแข่งขัน ทำให้พรรคแกนนำที่เคยจะผลักดัน "สุชาติ ตันเจริญ" เข้าชิง จึงต้องถอยหลีกทางให้ สอง เมื่อชวนได้เป็นประธานสภา และเป็นผู้ทูลเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็สามารถสร้างพลังต่อรองเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ดี เมื่อผลการโหวตออกมาแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการจัดตั้งรัฐบาลได้ลงตัวเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่กระบวนการทางการแบบการ "ส่งเทียบเชิญ" อย่างเป็นทางการ แล้วก็อ้างขั้นตอนรอที่ประชุมออกเป็นมติพรรค นี่ว่ากันเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอนนี้เป็น
เพียง "แค่ลีลาการแสดง" เท่านั้น จนบางครั้งอาจทำให้หลายคนรู้สึกหมั่นไส้บ้าง แต่ในเมื่อตัวเองเป็น "ตัวแปร" ก็ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด เป็นเรื่องธรรมชาติการเมืองที่ต้องทำความเข้าใจให้ได้
ที่ต้องบอกว่า ทุกอย่างลงตัวก็ตอกย้ำกันด้วยผลคะแนนโหวตเลือก "สุชาติ ตันเจริญ" จากพรรคพลังประชารัฐ เป็นรองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ 1 ที่เอาชนะขั้ว 7 พรรค ที่เสนอชื่อ "น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภาพาส" จากพรรคอนาคตใหม่ ไปด้วยคะแนน 248 ต่อ 246 รวมไปถึงการโหวตเลือก "นายศุภชัย โพธิ์สุ" จากพรรคภูมิใจไทยเป็นรองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ 2 แน่นอนว่า ชนะกันเพียงแค่สองสามคะแนน แต่ก็ถือว่าชนะ เพราะต่อไปทุกรายการโหวต ก็จะมีเสียงปริ่มน้ำเฉือนกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
** แต่ที่น่าจับตาก็คือ การโหวตในตำแหน่งหลัก คือประธานสภาผู้แทนฯ ที่ ชวน หลีกภัย เอาชนะอีกฝ่ายด้วยคะแนน 258 ต่อ 235 เมื่อหักลบคนป่วย คนลา และคนถูก "สั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่" ออกไปแล้ว ในคะแนนที่ชนะมา จำนวน 23 เสียง นั้นเมื่อสำรวจแล้วก็ต้องพบว่ามีคะแนนมาจากอีกขั้วมาเติมให้ จำนวน 7 เสียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า นี่คือ "งูเห่า" หรือไม่ คำตอบก็คือ "เป็นไปได้" เพราะนี่คือการโหวตในภารกิจหลักในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภา และเป็นคนเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ถือว่ามีความสำคัญยิ่งยวด มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน แน่นอนว่า ข่าวคราวเรื่องการเจรจากันในทางลับเกิดขึ้นมานานแล้ว ในท่ามกลางเสียง "ปริ่มน้ำ" แบบนี้ เพื่อป้องกันแบบเผื่อเหลือ เผื่อขาด เอาไว้ก่อน เพราะอย่างที่รู้กันว่า เป็นการลงมติแบบลับ จึงยากที่จะรู้หรือคาดคั้นได้ว่าเป็นใครที่ "แหกโผเลื้อยออกมา"
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความไม่มั่นคงเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของตัวเอง กับบางพรรคอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ ที่เวลานี้หัวหน้าพรรค คือ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว จนกว่ามีคำวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามกรณีถูกร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อมวลชน ที่เสี่ยงทั้งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 1-20 ปี ถูกดำนเนินคดีอาญา รวมทั้งเสี่ยงจะถูกยุบพรรค จนทำให้ลูกพรรคหนีตายยกเข่ง ก็เป็นไปได้ อาจทำให้บางคนไม่มั่นใจอนาคต อีกทั้งบางคนในพรรคนี้ก็เป็นพวกโนเนม การได้เป็น ส.ส.คราวนี้ ก็เหนือความคาดหมาย ตอนนี้ถือว่าเป็นกำไร แต่ในวันข้างหน้า เชื่อว่าก็น่าจะมีบางคนที่ไม่อยากเสี่ยง ก็เป็นไปได้เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยเอง ที่ชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นฝ่ายค้าน และที่ผ่านมาอย่างที่รู้กันว่า "ท่อน้ำเลี้ยง" ไม่ไหลมานานแล้ว
ดังนั้น การรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล ผ่านทางการโหวตประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าทุกอย่างชัดเจนแบบไม่ต้องอธิบายซ้ำ ว่ามีพรรคไหนร่วมกันบ้าง แต่หากจะสรุปอีกที ก็ไล่เรียงกัน ก็คือ พรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมพลังประชาชาติไทย ชาติพัฒนา พลังท้องถิ่นไทย รักษ์ผืนป่าประเทศไทย ประชาชนปฏิรูป และ 11 พรรคเล็ก นาทีนี้ถือว่า ได้ข้อสรุป ขั้นตอนที่เหลือเป็นเพียงแค่พิธีการ มี "เทียบเชิญ" เท่านั้น เพราะโควตากระทรวงแบ่งกันลงตัวแล้ว
ขณะเดียวกัน ที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งแน่นอนแล้วต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมี "งูเห่า" เลื้อยออกมาให้เห็นอีกหรือไม่ อย่างน้อยก็แพลมออกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง หากวันเลือกประธานสภาผู้แทนฯ เป็นแค่ตัวอย่าง ในวันเลือกนายกฯ จะเลื้อยออกมาเป็นฝูง ก็น่าจับตา เพราะเดิมพันสูงยิ่งนัก !!
ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ และประสบกาณ์การดำรงตำแหน่ง รวมไปถึงประวัติการเป็นผู้แทนราษฎรมาอย่างยาวนาน เป็นเครื่องการันตีได้อย่างดี
แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะมีการมองกันว่า การก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของ "ชวน หลีกภัย" ในครั้งนี้ จะเป็น "เกมการเมือง" ในระดับ "เขี้ยว"เพื่อเพิ่มแรงกดดัน และต่อรองกลับไปที่พรรคแกนนำในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ได้อีกชั้นหนึ่ง เพราะหนึ่งการเสนอชื่อ ชวน หลีกภัย เข้ามาแข่งขัน ทำให้พรรคแกนนำที่เคยจะผลักดัน "สุชาติ ตันเจริญ" เข้าชิง จึงต้องถอยหลีกทางให้ สอง เมื่อชวนได้เป็นประธานสภา และเป็นผู้ทูลเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็สามารถสร้างพลังต่อรองเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ดี เมื่อผลการโหวตออกมาแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการจัดตั้งรัฐบาลได้ลงตัวเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่กระบวนการทางการแบบการ "ส่งเทียบเชิญ" อย่างเป็นทางการ แล้วก็อ้างขั้นตอนรอที่ประชุมออกเป็นมติพรรค นี่ว่ากันเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตอนนี้เป็น
เพียง "แค่ลีลาการแสดง" เท่านั้น จนบางครั้งอาจทำให้หลายคนรู้สึกหมั่นไส้บ้าง แต่ในเมื่อตัวเองเป็น "ตัวแปร" ก็ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด เป็นเรื่องธรรมชาติการเมืองที่ต้องทำความเข้าใจให้ได้
ที่ต้องบอกว่า ทุกอย่างลงตัวก็ตอกย้ำกันด้วยผลคะแนนโหวตเลือก "สุชาติ ตันเจริญ" จากพรรคพลังประชารัฐ เป็นรองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ 1 ที่เอาชนะขั้ว 7 พรรค ที่เสนอชื่อ "น.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภาพาส" จากพรรคอนาคตใหม่ ไปด้วยคะแนน 248 ต่อ 246 รวมไปถึงการโหวตเลือก "นายศุภชัย โพธิ์สุ" จากพรรคภูมิใจไทยเป็นรองประธานสภาผู้แทนฯ คนที่ 2 แน่นอนว่า ชนะกันเพียงแค่สองสามคะแนน แต่ก็ถือว่าชนะ เพราะต่อไปทุกรายการโหวต ก็จะมีเสียงปริ่มน้ำเฉือนกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
** แต่ที่น่าจับตาก็คือ การโหวตในตำแหน่งหลัก คือประธานสภาผู้แทนฯ ที่ ชวน หลีกภัย เอาชนะอีกฝ่ายด้วยคะแนน 258 ต่อ 235 เมื่อหักลบคนป่วย คนลา และคนถูก "สั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่" ออกไปแล้ว ในคะแนนที่ชนะมา จำนวน 23 เสียง นั้นเมื่อสำรวจแล้วก็ต้องพบว่ามีคะแนนมาจากอีกขั้วมาเติมให้ จำนวน 7 เสียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า นี่คือ "งูเห่า" หรือไม่ คำตอบก็คือ "เป็นไปได้" เพราะนี่คือการโหวตในภารกิจหลักในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภา และเป็นคนเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ถือว่ามีความสำคัญยิ่งยวด มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน แน่นอนว่า ข่าวคราวเรื่องการเจรจากันในทางลับเกิดขึ้นมานานแล้ว ในท่ามกลางเสียง "ปริ่มน้ำ" แบบนี้ เพื่อป้องกันแบบเผื่อเหลือ เผื่อขาด เอาไว้ก่อน เพราะอย่างที่รู้กันว่า เป็นการลงมติแบบลับ จึงยากที่จะรู้หรือคาดคั้นได้ว่าเป็นใครที่ "แหกโผเลื้อยออกมา"
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความไม่มั่นคงเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของตัวเอง กับบางพรรคอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ ที่เวลานี้หัวหน้าพรรค คือ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราว จนกว่ามีคำวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามกรณีถูกร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อมวลชน ที่เสี่ยงทั้งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 1-20 ปี ถูกดำนเนินคดีอาญา รวมทั้งเสี่ยงจะถูกยุบพรรค จนทำให้ลูกพรรคหนีตายยกเข่ง ก็เป็นไปได้ อาจทำให้บางคนไม่มั่นใจอนาคต อีกทั้งบางคนในพรรคนี้ก็เป็นพวกโนเนม การได้เป็น ส.ส.คราวนี้ ก็เหนือความคาดหมาย ตอนนี้ถือว่าเป็นกำไร แต่ในวันข้างหน้า เชื่อว่าก็น่าจะมีบางคนที่ไม่อยากเสี่ยง ก็เป็นไปได้เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยเอง ที่ชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นฝ่ายค้าน และที่ผ่านมาอย่างที่รู้กันว่า "ท่อน้ำเลี้ยง" ไม่ไหลมานานแล้ว
ดังนั้น การรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล ผ่านทางการโหวตประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าทุกอย่างชัดเจนแบบไม่ต้องอธิบายซ้ำ ว่ามีพรรคไหนร่วมกันบ้าง แต่หากจะสรุปอีกที ก็ไล่เรียงกัน ก็คือ พรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมพลังประชาชาติไทย ชาติพัฒนา พลังท้องถิ่นไทย รักษ์ผืนป่าประเทศไทย ประชาชนปฏิรูป และ 11 พรรคเล็ก นาทีนี้ถือว่า ได้ข้อสรุป ขั้นตอนที่เหลือเป็นเพียงแค่พิธีการ มี "เทียบเชิญ" เท่านั้น เพราะโควตากระทรวงแบ่งกันลงตัวแล้ว
ขณะเดียวกัน ที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งแน่นอนแล้วต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมี "งูเห่า" เลื้อยออกมาให้เห็นอีกหรือไม่ อย่างน้อยก็แพลมออกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง หากวันเลือกประธานสภาผู้แทนฯ เป็นแค่ตัวอย่าง ในวันเลือกนายกฯ จะเลื้อยออกมาเป็นฝูง ก็น่าจับตา เพราะเดิมพันสูงยิ่งนัก !!