การตอบโต้กันไปมาของฝ่ายที่ชนะเก้าอี้หัวหน้าพรรคและฝ่ายที่พ่ายแพ้นั้น มันก้ำกึ่งว่านี่คือเสรีภาพประชาธิปไตยในพรรค หรือการไม่ยอมรับความพ่ายแพ้กันแน่ แต่แน่นอนว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบ่งบอกว่าการอยู่ร่วมกันในพรรคของแต่ละฝ่ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่อยู่ด้วยกันได้ยากนับจากนี้
มองจากคนนอกพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ที่มีความเป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคหัวหน้าตั้ง พรรคของนายทุนคนใดคนหนึ่ง หรือสมบัติของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แม้พรรคการเมืองจะมีกฎกติกาและมารยาทของพรรคเป็นกรอบให้ทุกคนเดิน แต่เรื่องความคิดเห็นนั้นทุกคนย่อมมีเสรีภาพที่เต็มเปี่ยมซึ่งสะท้อนออกมาตลอด 73 ปีของพรรค
และมีหลายครั้งที่ความขัดแย้งทำให้หลายคนเดินออกไปจากพรรคไปอยู่พรรคการเมืองที่มีความคิดและอุดมการณ์เหมือนกับตัวเอง และตอบสนองประโยชน์ให้กับตัวเองได้ หรือบางคนก็ออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์และความคิดของตัวเอง
พูดกันตามตรงในพรรคประชาธิปัตย์วันนี้มีกลุ่มคนสองความคิดหลักคือ กลุ่มที่มีความคิดไปในแนวทางเดียวกับอดีตผู้อาวุโสของพรรค อดีตหัวหน้าพรรค คนรุ่นใหม่ในพรรค และอีกกลุ่มมีความคิดไปในแนวทางเดียวกับอดีตเลขาธิการพรรค ที่วันนี้มีพรรคการเมืองใหม่ของตัวเอง
แต่ชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่สองครั้งหลังแม้จะถูกแทรกแซงจากคนนอก แต่ฝั่งของผู้อาวุโสในพรรคและอดีตหัวหน้าพรรคสามารถช่วงชิงตำแหน่งมาได้ เพียงแต่ดูเหมือนว่า การแข่งขันจบไปแล้วแต่คนยังไม่จบ ทั้งสองครั้งนั้นเป็นที่รับรู้กันว่า ฝ่ายที่พ่ายแพ้นั้นต้องการให้เข้าร่วมรัฐบาลสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป
ความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งที่แตกต่างจากทุกครั้ง คือ ฝ่ายหนึ่งชูธงว่าต้องการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ แต่อีกฝ่ายต้องการให้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าสืบทอดอำนาจนั้นยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป
แม้จริงๆ แล้วผมคิดว่า สุดท้ายกระแสต่างๆ อาจจะบีบคั้นให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องหันมาสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ เพราะทางออกของขั้วที่ 3 นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะอ้างว่า รักษาคำพูดตอนหาเสียงว่าจะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องไม่ลืมว่าพูดไว้ด้วยว่าจะไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย ที่สำคัญพรรคขั้วที่ 3 ที่ว่านี้รวมกันอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเสียงเกิน 376 เสียงเพื่อโหวตชนะฝ่ายสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์
พูดง่ายๆ ว่า ถึงตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อแน่ด้วยเสียง ส.ว.ที่ตั้งมากับมือ 250 เสียง และมีเสียง ส.ส.ในมือเกิน 126 คน ดังนั้นไม่มีทางหรอกที่ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์จะโง่ไปสนับสนุนขั้วที่ 3 ที่เป็นไปไม่ได้เลย
และหากไปสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องอธิบายต่อสังคมให้ได้ แม้จะอ้างว่า เป็นคำพูดของอดีตหัวหน้าพรรค แต่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยในจำนวน 3.9 ล้านเสียงที่ลงคะแนนให้พรรคเพราะจุดยืนอันนี้ ถ้าอธิบายเหตุผลและความจำเป็นโดยไม่สูญเสียจุดยืนหรือถูกกล่าวหาว่าตะบัดสัตย์ รวมถึงเลือกตั้งครั้งต่อไปก็จะกลับมาทิ่มแทงว่าที่พูดไว้ตอนหาเสียงนั้นจะเชื่อถือได้ไหม
ผมออกจะแปลกใจอยู่บ้างกับข้อเสนอของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ทำนองว่า ต้องตัดสินใจเพื่อเอาใจคน 7.5 ล้านที่ทิ้งพรรคไปเลือกพรรคพลังประชารัฐ แทนที่จะเอาใจคน 3.9 ล้านที่เลือกพรรค ทั้งนี้เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 11.4 ล้านคน แน่นอนละเราคงกะเกณฑ์แน่นอนไม่ได้ว่าคะแนนที่หายไปไหนบ้าง อาจไปเลือกภูมิใจไทย อาจไปเลือกอนาคตใหม่ แต่ก็ไม่ผิดหรอกที่ส่วนใหญ่หันไปเลือกพรรคพลังประชารัฐ
แต่มีคำถามนะครับว่า พรรคควรจะตัดสินใจเพื่อคน 3.9 ล้านคนที่เลือกพรรคหรือคน 7.5 ล้านคนที่ไม่ได้เลือกพรรคแล้วหวังว่าคนเหล่านั้นจะกลับมาเลือกพรรคอีกซึ่งหมายความว่าคนเหล่านั้นอาจจะต้องผิดหวังต่อพรรคพลังประชารัฐแล้วไม่สวิงกลับไปเลือกฝั่งตรงข้ามอันนับได้ว่า เป็นความหวังที่เลื่อนลอยมากๆ
หลายคนเสนอว่า ต้องไปสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีก่อน เพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณและสานต่อที่ทำไว้ 5 ปี แต่น่าสนใจว่า 5 ปีที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้นได้จัดการกับระบอบทักษิณลงไปอย่างไรบ้าง ทำไมกติกาการเลือกตั้งที่เอื้อประโยชน์ให้มากจึงไม่สามารถเอาชนะระบอบทักษิณให้ราบคาบลงได้ แล้วในสภาวะรัฐบาลปริ่มน้ำ 20 พรรคนั้นจะจัดการกับระบอบทักษิณลงได้อย่างไร
หลังเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งล่าสุดที่จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นฝ่ายชนะ ผมก็คิดว่าน่าจะจบแล้ว หัวหน้าพรรคคนใหม่บอกว่า จะร่วมรัฐบาลหรือไม่รอให้กรรมการบริหารพรรคตัดสิน แต่จู่ๆ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผู้พ่ายแพ้ก็ออกมาด่าทอกระทบกระเทียบคนในพรรค แล้วต่อมาคนในพรรคก็ออกมาบอกว่าคุณพีระพันธุ์หมายถึงคุณชวน ผมก็ออกจะแปลกใจนะครับว่า ทำไมคุณชวนจะสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แล้วทำไมคุณพีระพันธุ์ต้องโกรธที่คุณชวนจะไม่สนับสนุนตัวเอง
จากนั้นคุณชวนก็ออกมากรีดกลับแล้วไฟก็ลามจนดับยาก กลายเป็นความแตกแยกในพรรค ที่กำลังอยู่ในสภาวะตกต่ำ เหมือนเรือที่กำลังจะล่มแล้วทุกคนตะเกียกตะกายเอาตัวรอดด่าทอโทษกันไปมา
ส่วนตัวผมกับคุณชวนนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่า สมัยคุณชวนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ผมวิพากษ์วิจารณ์การทำงานที่เชื่องช้าของคุณชวนรุนแรงมาก ถ้ารวมเป็นเล่มก็น่าจะได้หนังสือเล่มโต แถมยังร่วมกับเพื่อนๆ รวมบทกวีวิพากษ์วิจารณ์คุณชวนอย่างเผ็ดร้อน แต่ผมมองในฐานะเป็นสื่อมวลชน ในฐานะคนภายนอก
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเก่าแก่ เคยเข้าใจว่าน่าจะเป็นพรรคที่มีจารีต ขนบธรรมเนียม มีจุดยืนของพรรคที่ชัดเจนมีสปิริต และอุดมการณ์ของพรรคน่าจะเข้มแข็งมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ และโดยหลักการแล้วพรรคการเมืองควรจะเป็นจุดรวมของคนที่มีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน
คนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจว่า การแย่งชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่รุนแรงแตกหักสองครั้งหลังนั้นเกิดจากอะไร และพอจะเดากันได้ไม่ยากว่าใครหนุนหลัง และเพื่อหวังผลอะไร แต่เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วศึกภายในพรรคยังไม่จบ กลายเป็นการทำลายกันเองภายในบ้าน ก็น่าจะเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะมีแต่จะทำให้พรรคย่ำแย่ลง
จริงๆ แล้วถ้าใครอยู่ในพรรคไม่ศรัทธาคนในพรรค แต่ศรัทธาคนอีกพรรค ถ้าอยู่ในพรรคไม่ชอบจุดยืนของพรรค แต่ชอบจุดยืนของอีกพรรค ผมคิดว่า ก็ทำแบบคนประชาธิปัตย์ในอดีตคือแยกย้ายกันไปอยู่ในพรรคที่ตัวเองศรัทธาแนวทางและเชื่อมั่นในตัวผู้ก่อตั้งพรรค แล้วขับเคลื่อนอุดมการณ์ของตัวเอง เหมือนกับสมาชิกพรรคหลายคนในอดีต
การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคก็จบลงแล้ว ถ้าแพ้ไม่ได้ไม่อยากอยู่ภายใต้การนำพาของหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็ไปหาพรรคอยู่ใหม่ ซึ่งตอนนี้ว่าไปแล้วพรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ น่าจะเหมาะสมกับหลายคนที่ไม่อยากอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป แถมยังมีพรรคที่มีอุดมการณ์ชัดเจนว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
อย่ามาเสียเวลาทะเลาะกันอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์เลยครับ เชียร์!!!
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan