**คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ระบุว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมดำเนินคดีกับผู้สมัคร ส.ส.ทุกราย ที่ถูกศาลฎีกาสั่งถอนชื่อออกจากการสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากถือหุ้นในกิจการสื่อ โดยจะเสนอให้ดำเนินคดีทุกรายที่ศาลมีคำสั่งแล้ว ซึ่งกรณีนี้จะเข้าข่ายฐานความผิดตาม มาตรา 151 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่หากรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังฝ่าฝืนลงสมัครอีก จะมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี และปรับสูงสุด 2 แสนบาท"
แน่นอนว่าจากคำพูดดังกล่าวของเลขาธิการการเลือกตั้ง เหมือนกับเป็นการชี้ชัดว่า จะเสนอให้ดำเนินคดีกับผู้สมัคร และว่าที่ส.ส.ทุกรายที่ "ถือหุ้นสื่อ" ซึ่งหากพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ที่เพิกถอนชื่อออกจากการรับสมัครเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่รายหนึ่ง ที่จังหวัดสกลนคร เขต 2 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม มีปัญหาเรื่อง "คุณสมบัติต้องห้าม" ดังกล่าวมันก็ยิ่งส่งผลสะเทือนโดยตรงไปถึง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาตใหม่ และผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรค เข้าอย่างจัง
เนื่องจากเวลานี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งข้อกล่าวหาว่าอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในการสมัครส.ส. จากรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด และเมื่อวันที่ 30 เมษายน เขาก็ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กกต.พร้อมแสดงหลักฐานที่อ้างว่าสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ทั้งหมด
**นาทีนี้ก็ได้แต่หวังว่าหลักฐานที่พวกเขาอ้างว่ามีจำนวนถึง 26 รายการ ที่หอบกันพะรุงพะรัง บรรจุเอาไว้ในลังกระดาษมาอย่างดี คงจะสามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับคณะกรรมการการเลือกตั้งจนทะลุปรุโปร่ง ผ่านตลอดไปได้ด้วยดี จนสามารถเชื่อ หรือพิสูจน์ได้ว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวตามที่มีมีกล่าวอ้างได้จริง คือในวันที่ 8 มกราคม 2562 ก่อนวันรับสมัครเลือกตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อ ในวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2562 ทุกอย่างก็จะรอดตัวไป ธนาธร ก็น่าจะได้การรับรองเป็นส.ส.ภายใน วันที่ 9 พฤษภาคม ตามที่ทางกกต.ได้กำหนดเอาไว้
แต่ผลออกมาในทางตรงกันข้ามหรือ หาก"ไม่ผ่าน" หรือการชี้แจงและหลักฐานที่นำมาแสดงฟังไม่ขึ้น หรือคนละเรื่องกับหลักฐานที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้โอนหุ้นบริษัท วีลัค มีเดีย ในวันที่ 8 มกราคม 62 จริง นั่นก็ต้องบอกว่า "งานเข้า" ธนาธร เข้าอย่างจัง และถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่คอขาดบาดตายทั้งตัวเขา และอาจส่งผลสะเทือนไปถึงพรรคอนาคตใหม่ทั้งพรรคเลยก็ได้
เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูดข้างต้นของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. มันจะเริ่มเป็นขั้นตอน ไต่ระดับความแรงขึ้นไปนั่นคือ เริ่มจากให้ "ใบส้ม" แขวนเอาไว้ก่อน 1 ปี แล้วส่งศาลฎีกาพิจารณาเพิกถอนสิทธิการรับสมัครเลือกตั้ง ในกรณี "มีคุณสมบัติต้องห้าม" และหากโชคร้าย ศาลพิจารณาชี้ขาดไปตามคำร้อง มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันจะวนมาที่คำพูดที่ระบุว่า "หากรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังฝ่าฝืนลงสมัครอีก จะมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปีและปรับสูงสุด 2 แสนบาท"
และในกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังเป็นหัวหน้าพรรค เป็นกรรมการบริหารพรรคอีกด้วย มันก็ยังเสี่ยงที่จะถูกร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาอีกด้วย
**ดังนั้น นาทีนี้ก็อยากภาวนาให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาในเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามจากการถือหุ้นสื่อให้ผ่านไปด้วยดี เพราะอย่างที่บอกในตอนต้น หากไม่ผ่านมันจะยุ่งตามมาหลายขั้นตอน นอกเหนือจากตัวเองต้องเสี่ยงในเรื่องการถูกถอนสิทธิ์การรับสมัคร ส.ส.แล้ว ยังเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาตามมาอีก งานนี้ถือว่า เดิมพันสูงจริงๆ !!
แน่นอนว่าจากคำพูดดังกล่าวของเลขาธิการการเลือกตั้ง เหมือนกับเป็นการชี้ชัดว่า จะเสนอให้ดำเนินคดีกับผู้สมัคร และว่าที่ส.ส.ทุกรายที่ "ถือหุ้นสื่อ" ซึ่งหากพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ที่เพิกถอนชื่อออกจากการรับสมัครเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่รายหนึ่ง ที่จังหวัดสกลนคร เขต 2 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม มีปัญหาเรื่อง "คุณสมบัติต้องห้าม" ดังกล่าวมันก็ยิ่งส่งผลสะเทือนโดยตรงไปถึง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาตใหม่ และผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรค เข้าอย่างจัง
เนื่องจากเวลานี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งข้อกล่าวหาว่าอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในการสมัครส.ส. จากรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด และเมื่อวันที่ 30 เมษายน เขาก็ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กกต.พร้อมแสดงหลักฐานที่อ้างว่าสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ทั้งหมด
**นาทีนี้ก็ได้แต่หวังว่าหลักฐานที่พวกเขาอ้างว่ามีจำนวนถึง 26 รายการ ที่หอบกันพะรุงพะรัง บรรจุเอาไว้ในลังกระดาษมาอย่างดี คงจะสามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับคณะกรรมการการเลือกตั้งจนทะลุปรุโปร่ง ผ่านตลอดไปได้ด้วยดี จนสามารถเชื่อ หรือพิสูจน์ได้ว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวตามที่มีมีกล่าวอ้างได้จริง คือในวันที่ 8 มกราคม 2562 ก่อนวันรับสมัครเลือกตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อ ในวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2562 ทุกอย่างก็จะรอดตัวไป ธนาธร ก็น่าจะได้การรับรองเป็นส.ส.ภายใน วันที่ 9 พฤษภาคม ตามที่ทางกกต.ได้กำหนดเอาไว้
แต่ผลออกมาในทางตรงกันข้ามหรือ หาก"ไม่ผ่าน" หรือการชี้แจงและหลักฐานที่นำมาแสดงฟังไม่ขึ้น หรือคนละเรื่องกับหลักฐานที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้โอนหุ้นบริษัท วีลัค มีเดีย ในวันที่ 8 มกราคม 62 จริง นั่นก็ต้องบอกว่า "งานเข้า" ธนาธร เข้าอย่างจัง และถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่คอขาดบาดตายทั้งตัวเขา และอาจส่งผลสะเทือนไปถึงพรรคอนาคตใหม่ทั้งพรรคเลยก็ได้
เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูดข้างต้นของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. มันจะเริ่มเป็นขั้นตอน ไต่ระดับความแรงขึ้นไปนั่นคือ เริ่มจากให้ "ใบส้ม" แขวนเอาไว้ก่อน 1 ปี แล้วส่งศาลฎีกาพิจารณาเพิกถอนสิทธิการรับสมัครเลือกตั้ง ในกรณี "มีคุณสมบัติต้องห้าม" และหากโชคร้าย ศาลพิจารณาชี้ขาดไปตามคำร้อง มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันจะวนมาที่คำพูดที่ระบุว่า "หากรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังฝ่าฝืนลงสมัครอีก จะมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปีและปรับสูงสุด 2 แสนบาท"
และในกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังเป็นหัวหน้าพรรค เป็นกรรมการบริหารพรรคอีกด้วย มันก็ยังเสี่ยงที่จะถูกร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาอีกด้วย
**ดังนั้น นาทีนี้ก็อยากภาวนาให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาในเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามจากการถือหุ้นสื่อให้ผ่านไปด้วยดี เพราะอย่างที่บอกในตอนต้น หากไม่ผ่านมันจะยุ่งตามมาหลายขั้นตอน นอกเหนือจากตัวเองต้องเสี่ยงในเรื่องการถูกถอนสิทธิ์การรับสมัคร ส.ส.แล้ว ยังเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาตามมาอีก งานนี้ถือว่า เดิมพันสูงจริงๆ !!