xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯไม่พลิกการเมืองเริ่มนิ่ง เย็นลงสวนทางอุณหภูมิหน้าร้อน!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

**หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในทางลึกและเปิดเผย ล้วนซาลงไปมาก เมื่อเทียบกับช่วงหลังการเลือกตั้ง แม้ว่าบางฝ่ายจะอ้างว่าต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้งจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ก่อนก็ตาม เนื่องจากตัวเลขส.ส.ยังไม่นิ่ง แต่เชื่อเถอะในความเป็นจริงรับรองว่าจะไม่มีใครอยู่เฉยหรือ "นั่งรอ" อย่างอดทนได้แบบนั้นหรอก ต้องมีการล็อบบี้ ต่อรอง แลกเปลี่ยน กันอย่างเข้มข้นกันมาตั้งแต่ก่อนหลและหลังเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าบทสรุปแท้จริงต้องรอตัวเลขอย่างเป็นทางการก่อนก็ตาม
แต่สาเหตุที่เงียบ หรือความเคลื่อนไหวที่ซาลงไปนั้นมองได้สองสาเหตุหลักก็คือ หนึ่งรับรู้แล้วว่า "แพ้แล้ว" กับอีกด้านหนึ่งคือ "ชนะ" และควบคุมสถานการณ์อยู่ในมือได้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อการเมืองแบ่งออกเป็น "สองขั้ว" คือขั้วของ ทักษิณ ชินวัตร ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย กับขั้วของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อความเคลื่อนไหวเริ่มซาลงไปนั่นย่อมหมายความว่า รู้ผลแพ้ชนะกันไปแล้วหรือเปล่า
หากย้อนดูแบ็กกราวด์แต่ละขั้ว ก็ต้องบอกว่าคราว นี้ฝ่าย "ขั้วทักษิณ" เป็นรองครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 หรือตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา เพราะการเลือกตั้งทุกครั้งพวกเขาจะชนะขาด แต่คราวนี้พลิกกลับตาลปัตร ผลออกมาสูสี และที่สำคัญสูญเสียการควบคุมอำนาจรัฐต่อเนื่องยาวนานผ่านมาแล้วกว่า 5 ปี และจนถึงเวลานี้ และทำท่าจะต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตอีกด้วย
**ประกอบกับการใช้ยุทธศาสตร์ในพรรคไทยรักษาชาติ ที่ผิดพลาด คิดจะ "กินรวบ" แต่กลับพ่ายแพ้ทั้งกระดาน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพวกพรรคพันธมิตรแนวร่วมอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ ที่มาในแนว "หวือหวา" แต่ที่สำคัญการที่แกนนำพรรคมี "ทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบัน" มีเจตนา"เล่นใหญ่เกินตัว" ต้องการรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ผ่านการลงประชามติกว่า 16 ล้านเสียง รวมไปถึงการประกาศรื้อคดีของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด เรื่องหลักๆแบบนี้ย่อมทำให้สังคมไทยต้อง"ตั้งหลักคิดใหม่" เพราะหลายคนเชื่อว่า มันเสี่ยงต่อการสร้างความแตกแยกปั่นป่วนในสังคมตามมา
ขณะเดียวกัน แนวความแบบนี้มันเหมือนกับความคิดของพวกเด็กที่ "ยังไร้เดียงสา" มองในเรื่องอุดมคติตามตำรา เกิดขึ้นแบบนั้นไม่ได้ในโลกความจริง ที่สังคมต้องมีความหลากหลายปรับตัวตามสถานการณ์ ด้วยแนวคิดของพวกเด็กๆ แบบ "สุดโต่ง" มันกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้คนในสังคมต้องหยุดคิดและมีไม่น้อยเริ่มถอยห่างออกมา
นอกเหนือจากนี้ข้ออ้างในเรื่อง "ประชาธิปไตย" กับคำถามด้วยความสงสัยว่ามันเป็นประชาธิปไตย "แท้" หรือเป็นข้ออ้างเพื่อ"หากินกับประชาธปไตย" โดยคำนึงแค่ว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย หรือไม่ ขณะเดียวกันคำถามที่น่าสนใจก็คือ ในโลกยุคปัจจุบันนี้ "ประชาธิปไตยมันยังได้รับความนิยมอยู่อีกหรือไม่" เนื่องจากเริ่มมีหลายประเทศที่เริ่มปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะการปรับตัวของ "พวกเผด็จการ" จนได้รับการยอมรับมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดก็คือ เผด็จการ คสช.ที่นำโดย "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้ว่ารูปแบบจะเป็นเผด็จการ แต่กลายเป็นว่ายังได้รับความนิยมจากชาวบ้านอย่างท่วมท้น อย่างน้อยก็ขึ้นมาสูสีกับ ทักษิณ ชินวัตร นักประชาธิปไตย ที่หนีคดีทุจริตก็แล้วกัน
ด้วยสาเหตุหลักๆ แบบนี้นี่เองที่ทำให้การประกาศชิงจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตร ยังไม่มีแนวโน้มที่จะรวบรวมเสียงได้มากพอ ขณะเดียวกันด้วยกลไกใหม่ในช่วงเปลี่ยนผ่านตามบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ ที่เปิดโอกาสให้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน มาร่วมโหวตนายกฯในรัฐสภา ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญของกลุ่มขั้วการเมืองฝ่าย ทักษิณ ชินวัตรในที่สุด
ขณะที่อีกฝ่ายคือ "ขั้วบิ๊กตู่" ที่ถือว่าเวลานี้ยังกุมสภาพทุกอย่างได้เต็มร้อย ยังมีอำนาจตาม มาตรา 44 อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ส.ว.ในมือ 250 เสียง โหวตเลือกนายกฯไปก่อน เพื่อสร้างพลังต่อรองดึงดูดพรรคการเมืองเข้ามา หรือหาก "ใกล้ถึงทางตัน" ก็ยังมีไม้ตายสามารถขู่"เลือกตั้งใหม่" ให้หวาดผวากันอีกด้วย
** เมื่อพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านแล้วมาถึงนาทีนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าฝ่าย "ขั้วลุงตู่" ได้เปรียบแทบทุกอย่างเข้าทาง อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ทุกอย่างเริ่ม "นิ่งและเงียบ"กว่าเดิม เพราะลักษณะมันเหมือนกับรู้แพ้รู้ชนะไปแล้ว อย่างมากก็มีแต่พวกพยายามสร้างกระแส"รัฐบาลแห่งชาติ"หรือ "รัฐบาลปรองดอง"ซึ่งมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อีกทั้งด้วยกลไกลใหม่ก็ไม่ถึงทางตัน เพราะทุกอย่างยังอยู่ในมือ คสช.มันถึงได้บอกว่าอุณหภูมิการเมืองเย็นลงสวนทางอุณหภูมิร้อนช่วงเดือนเมษา!!
กำลังโหลดความคิดเห็น