xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**โป๊ะแตก! โยกย้ายนายตำรวจผิดฝา ผิดตัว จนเกิดปัญหา ปมปริศนา "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" โดนคำสั่งฟ้าผ่า **

ช็อกแวดวงสีกากี เมื่อพล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ลงนาม คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แทนอย่างไม่มีกำหนด เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา...
เกิดอะไรขึ้นกับ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" นายตำรวจระดับ"ปรากฏการณ์" ของ สตช. เพราะ นอกจากเป็น "นายพล" อายุน้อยด้วยวัย 40 กว่าปี แบบที่น้อยคนนักที่จะทำได้ ในหน้าที่การงานเขาก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว , ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจ และปฏฺิบัติการพิเศษ หรือ 191, รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในตำแหน่งล่าสุด... "บิ๊กโจ๊ก" ใต้ร่มเงาของรัฐบาลคสช. ใช้เวลาไม่กี่ปี พิสูจน์ตัวเองในตำแหน่งที่ว่า จนถูกคาดหมายจะก้าวขึ้นสู่เบอร์ต้นๆใน สตช.ในอนาคตอันใกล้
ว่ากันว่า ความสำเร็จเกินกว่าใครในรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่ๆ ส่วนหนึ่งมาจาก นายตำรวจหนุ่มจากสงขลา วัย 48 ปี นรต.รุ่น47 ผู้นี้ ขยันทุ่มเททำงานหนักโดยมีผลงานมากมายเข้าตาผู้ใหญ่และคนทั่วไป ด้วยสไตล์นอบน้อม พูดจาอ่อนหวาน อันเป็นที่มาของฉายา "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" ... แต่อีกส่วนหนึ่งก็ว่ากันว่า ได้บารมีของพี่ใหญ่ คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผลักดัน
"บิ๊กโจ๊ก" เริ่มทำงานเข้าตา"ลุงป้อม" ตั้งแต่สมัยติดยศ พ.ต.อ. ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุค คสช. ดวงดาวฤกษ์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็พุ่งปรี๊ด ได้รับมอบหมายตำแหน่งสำคัญๆ ดังกล่าว รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานสำคัญทางการเมืองของ"ลุงป้อม" อย่างนโยบายปฏิบัติการล้างหนี้เงินกู้ ทวงคืนโฉนดทั่วประเทศ ผลงานโบแดงของคสช. ที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ที่คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รับหน้าที่เป็น "ผู้ช่วยโฆษกประจำตัว" ให้ เป็นที่จดจำในหมู่ประชาชนทั่วไป
เมื่อการมีซูเปอร์คอนเนกชันหนุนหลัง และผลงานดี งานสำคัญๆ จึงตกถึงมือ "บิ๊กโจ๊ก" เนืองๆ และที่สุดของที่สุดในแวดวงสีกากี ก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ เช่นนี้เองชื่อ “บิ๊กโจ๊ก”จึงถูกเอ่ยถึง "อำนาจ -บารมี" เป็นผู้มีบทบาทในการแต่งตั้งโยกย้ายให้คุณ-ให้โทษตำรวจทั่วประเทศ ... ในช่วง4-5ปีที่ผ่านมา พอถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย จึงไม่แปลกที่พี่น้องในวงการตำรวจรัก"บิ๊กโจ๊ก"เป็นพิเศษ วิ่งเข้าหาฝุ่นตลบ แต่เจ้าตัวปฏิเสธไม่เคยใช้อำนาจบารมีในทางนี้ ลือกันไปเอง ไม่เคยไปข้องเกี่ยว และไม่มีหน้าที่ตามกฎหมาย...
แม้จะพยายามกันตัวเองออกจากวงอำนาจที่ว่ากันว่า เขาสามารถบันดาลตำแหน่งของเหล่านายตำรวจได้ โดยจับกุมคนปล่อยข่าวมาแถลงต่อสื่อ แต่ การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับครั้งล่าสุด ก็ยังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า "บิ๊กโจ๊ก" จัดให้ในหลายตำแหน่ง กระจายไปในหลายพื้นที่สำคัญ ที่จะพลิกชะตานายตำรวจผู้นั้น"อัพเกรด" ขึ้นมาจากธรรมดาโลกไม่จำ ให้เป็นตำรวจที่อยู่ในสายตาของ "ผู้หลักผู้ใหญ่" โดยเฉพาะในเมืองหลวง โอกาสที่จะสปริงตัวขึ้นไปในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นไปอีกก็มีสูง ...ลือกันมาเป็นทอดๆ ว่า การอัพเกรดจากนายตำรวจภูธร เข้ามานครบาล ค่าตั๋วนั้นแพงระยับ เมื่อจ่ายแพงก็ต้องคาดหวังสูง ได้อยู่ในที่ที่ดีๆ และ หากไม่เป็นไปตามที่ "ดีล"กันไว้ ก็ย่อมมีปัญหาที่ไม่คาดฝันตามมา
จะเรียกว่าถึงคราว หรืออะไรไม่อาจทราบได้ การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ ดันมีปัญหาอย่างที่ว่า เกิดปัญหาการทำงานของนายตำรวจระดับผู้กำกับรายหนึ่ง ซึ่งเพิ่งถูกโยกย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามา กทม. แล้วทำงานพลาด และ เป็น"เคสที่ไม่ควรให้อภัยยิ่ง" เสียด้วย เรียกว่า "ผิดฝาผิดตัว" ในตำแหน่งแห่งที่ แทนที่จะเป็นคนที่เหมาะสม ดันเอาคนที่ไม่ประสีประสา มาทำงานใหญ่ ... พอเรื่อง "โป๊ะแตก" ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังการโยกย้ายนายตำรวจนายนี้ จึงต้องสืบสาวราวเรื่องกันอย่างซีเรียส... ฟ้าเลยผ่าเปรี้ยง!

**#SaveDecha = Save กัญชารักษาโรค รู้จัก "เดชา ศิริภัทร" ให้ลึกซึ้ง คนที่รู้ๆว่า "กัญชา" สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย แต่ "ชีวิตคนนั้นสำคัญกว่า" เชื่อใครๆ ก็ทำได้ รักษาโรคได้ไม่จำกัด ต้นทุนต่ำ "แต่จะไม่มีประโยชน์ หากกฎหมายยังถือว่าเป็นยาเสพติด"

กรณี ตำรวจปปส. เข้าจับกุมกัญชาและเตรียมแจ้งข้อหา“เดชา ศิริภัทร”ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ศึกษาค้นคว้า มีองค์ความรู้เรื่องกัญชารักษาโรคดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศ นำมาซึ่งกระแส "#Saveเดชา" แพร่หลายในโลกออนไลน์ในตอนนี้
ไม่เพียง"เนวิน ชิดชอบ"อดีตนักการเมืองที่ผันตัวเองมาต่อสู้เรื่องกัญชารักษาโรค และโภชนาการ "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่บรรจุเรื่องนี้ไว้เป็นนโยบายหาเสียง ที่ประกาศจะสู้เพื่อเดชา คนที่พอทราบเรื่องต่างทยอยเข้าร่วม"Saveเดชา"
เดชา หรือ อาจารย์เดชา เดิมนั้นเป็นคนที่มุ่งมั่นจะพัฒนาและรักษาสายพันธุ์ข้าวไทยไว้เพื่อคนไทย และเป็นคนที่ต่อสู้กับการผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรของกลุ่มทุนด้านเกษตรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อให้ชาวนาและเกษตรกรไทย สามารถพึ่งตนเองได้ และผู้บริโภคมีอาหารที่ปลอดภัยในการบริโภค ... เมื่อมาศึกษาเรื่องกัญชา ทั้งๆ ที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย แต่ชีวิตคนนั้นสำคัญยิ่งกว่า อ.เดชา เคยว่าไว้... นั่นเพราะว่า แม้“กัญชา”จะเป็นทางเลือกในการรักษาโรค ก่อนที่จะมีการ“คลายล็อกกัญชาทางการแพทย์”แต่ยังคงไว้ซึ่งสถานะ“ยาเสพติดให้โทษประเภท 5”ไม่เปลี่ยนแปลง
“เดชา ศิริภัทร”ศึกษาเรื่องกัญชาเพื่อรักษาโรคเป็นการส่วนตัว หลังจากพบข้อมูลว่า สารในพืชกัญชามีคุณสมบัติรักษาโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ลมชัก ฯลฯ อาจารย์เดชาได้เผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับกัญชารักษาโรค ติดตามประเมินผล เปิดหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพืชกัญชาในการรักษาโรค อาทิ การเรียนรู้การเพาะปลูก การสกัดและการกลั่นน้ำมัน ฯลฯ ... จุดเริ่มต้นของ อ.เดชา ต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2555 จากการได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับกัญชาในหลายๆ ประเทศ มีการลงมติให้กัญชาถูกกฎหมาย โดยเฉพาะในอเมริกา แล้วก็เริ่มอยากรู้เหตุผลว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลคือ ส่วนใหญ่คิดว่ากัญชาเป็นยารักษาโรค โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า โรคพุ่มพวง ฯลฯ
แต่การยกระดับกัญชาให้เป็นยารักษาโรคก็ไม่ง่าย ในต่างประเทศเองเมื่อมีกรณีศึกษา เชื่อได้ว่ากัญชารักษาโรคได้ แต่กระนั้นกฎหมายก็ถือเป็นอุปสรรคใหญ่อยู่ดี มีคนธรรมดาที่ศึกษาเรื่องนี้แล้วถูกจับก็มาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ อ.เดชา ละวาง กลับศึกษาลงลึกไปอีกว่า กัญชามีสารสำคัญเป็นจำนวนมาก ทำงานออกฤทธิ์ร่วมกันซับซ้อนมาก ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ อ.เดชา เริ่มทดลองว่ากัญชารักษาโรคได้จริงหรือไม่ เพราะหากจริง มันเป็นประโยชน์มาก
"อย่างแม่ของผมก็เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง รักษาแพทย์สมัยใหม่ แล้วก็ไม่รอด ทำคีโม ฉายแสง ผ่าตัด ดังนั้น หากกัญชาสรรพคุณดีจริง มันจะมีประโยชน์ต่อคนป่วยอย่างมาก"
จากนั้นก็ค่อยๆ ทำการทดลอง และเมื่อได้ผลที่น่าพอใจก็ทำแจกคนใกล้ตัว ประสานทางวัดให้พระช่วยแจก ซึ่งมีการเก็บข้อมูลติดตามผลเพื่อประโยชน์ในการรักษาต่อไป ... ถ้านับถึงปลายปี 2561 แจกไปแล้วกว่า 4,000 คน ข้อมูลการรักษาทั้งหมดเชื่อได้ว่า"กัญชาช่วยรักษาโรคได้" ... อ.เดชา เชื่อว่า เรื่องที่ศึกษาเป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่คนไทยอย่างเดียว แต่คนทั้งโลก กัญชา เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาตั้งนานแล้ว แต่ว่าคนไปกดไว้ว่าผิดกฎหมาย จนกระทั่งเสียโอกาสไปตั้งหลายปี หากนำมาใช้เป็นยา มันจะช่วยได้มหาศาล แทบไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย ถ้าช่วยกันปลูก ช่วยกันแจก ในขณะที่ระบบการแพทย์แผนปัจจุบันมีราคาแพง ประสิทธิภาพต่ำ อย่างไมเกรน ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้เลย แต่น้ำมันกัญชา 10 นาที ก็หายแล้ว แต่ให้หายขาดไม่เกิน 2 เดือน คนป่วยควรมีทางเลือก...
จริงๆ ตอนนี้ การปลดล็อกกัญชาเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง ซึ่งกระบวนการที่จะทำออกมาเป็นยารักษาโรคนั้น ต้องรออีกนาน ซึ่งเราท่านก็ทราบดี โรคร้ายที่รักษาไม่หาย รอไม่ได้ ยิ่งโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ นั้นมีอยู่เยอะ หากกฎหมายยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติด และกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขผูกขาด หากจะทำอะไรต้องขออนุญาต การรักษาจำกัดแค่ไม่กี่กลุ่มโรค ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ไม่มีประโยชน์อะไร ... คุณค่าของกัญชาในเรื่องของการรักษาโรค ก็จะถูกเบี่ยงเบนไปและเลือนหายไปจากความตื่นตัวตื่นรู้เท่าทันกับทุนต่างประเทศ
#SaveDecha จึงเท่ากับ Save กัญชารักษาโรค
รูป- พล.ต.ท.สุรเชาฐ์ หักพาล-- พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
กำลังโหลดความคิดเห็น