ผู้จัดการรายวัน360 - ครม.ปรับเกณฑ์ตามข้อเสนอธอส.ในโครงการบ้านล้านหลัง เพิ่มวงเงินจัดสรร 40,000 ล้านบาท ดูแลกลุ่มผู้มีเงินต่ำกว่า 25,000 บาทต่อเดือน หวังกระจายจำนวนรายได้มากขึ้น ขณะที่ลดสัดส่วนกลุ่มที่มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน เหลือแค่ 10,000 ล้านบาท รวมตามกรอบ 50,000 ล้านบาท
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับกรอบการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง) โดยกรอบวงเงินกู้กลุ่มรายได้ต่อคนไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ปรับเพิ่มใหม่เป็น 40,000 ล้านบาท จากเดิม 20,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มรายได้ต่อคนเกินกว่า 25,000 บาทต่อเดือน ปรับลดกรอบวงเงินใหม่เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท และจะสิ้นสุดการทำนิติกรรม เมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินคือ 50,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30 ธันวาคม 2564 จากเดิมที่จะสิ้นสุดการทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562
นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบการชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนรัฐวิสาหกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการจากรัฐบาล รวม 6 ปี (2562-2567) เพิ่มเติม จำนวน 789.66 ล้านบาท จากเดิมที่เคยขอรับการชดเชยมาแล้วจากครม.เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 3,876 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินที่ ธอส. ขอรับการชดเชยทั้งสิ้น จำนวน 4,666 ล้านบาท และยกเว้นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 และสำหรับค่าใช้จ่ายที่ ธอส. จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนรัฐวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการฯ เป็นระยะเวลา 6 ปี วงเงินรวม 989.66 ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานผลการดำเนินโครงการบ้านล้านหลัง พบว่า มีประชาชนยื่นจองสิทธิสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 127,102 ล้านบาท สูงเกินกว่ากรอบวงเงิน
สินเชื่อที่ธอส. ได้กำหนดไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน มีผู้ยื่นจองสิทธิ 113,064 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากรอบวงเงินที่ ธอส. กำหนดไว้ จำนวน 93,064 ล้านบาท (ธอส. กำหนดกรอบวงเงินไว้ 20,000 ล้านบาท) ในขณะที่ยอดจองสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท มีผู้ยื่นจองสิทธิเพียง 14,038 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากรอบวงเงินที่ ธอส. กำหนดไว้ จำนวน 15,962 ล้านบาท (กำหนดกรอบวงเงินไว้ 30,000 ล้านบาท)
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับกรอบการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง) โดยกรอบวงเงินกู้กลุ่มรายได้ต่อคนไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ปรับเพิ่มใหม่เป็น 40,000 ล้านบาท จากเดิม 20,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มรายได้ต่อคนเกินกว่า 25,000 บาทต่อเดือน ปรับลดกรอบวงเงินใหม่เป็น 10,000 ล้านบาท จากเดิม 30,000 ล้านบาท และจะสิ้นสุดการทำนิติกรรม เมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินคือ 50,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30 ธันวาคม 2564 จากเดิมที่จะสิ้นสุดการทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562
นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบการชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนรัฐวิสาหกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการจากรัฐบาล รวม 6 ปี (2562-2567) เพิ่มเติม จำนวน 789.66 ล้านบาท จากเดิมที่เคยขอรับการชดเชยมาแล้วจากครม.เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 3,876 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินที่ ธอส. ขอรับการชดเชยทั้งสิ้น จำนวน 4,666 ล้านบาท และยกเว้นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 และสำหรับค่าใช้จ่ายที่ ธอส. จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล เพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนรัฐวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการฯ เป็นระยะเวลา 6 ปี วงเงินรวม 989.66 ล้านบาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รายงานผลการดำเนินโครงการบ้านล้านหลัง พบว่า มีประชาชนยื่นจองสิทธิสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 127,102 ล้านบาท สูงเกินกว่ากรอบวงเงิน
สินเชื่อที่ธอส. ได้กำหนดไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน มีผู้ยื่นจองสิทธิ 113,064 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากรอบวงเงินที่ ธอส. กำหนดไว้ จำนวน 93,064 ล้านบาท (ธอส. กำหนดกรอบวงเงินไว้ 20,000 ล้านบาท) ในขณะที่ยอดจองสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท มีผู้ยื่นจองสิทธิเพียง 14,038 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากรอบวงเงินที่ ธอส. กำหนดไว้ จำนวน 15,962 ล้านบาท (กำหนดกรอบวงเงินไว้ 30,000 ล้านบาท)