xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**จากยุโรปถึงจีน เมื่อโลกล้อม "พี่น้องชินวัตร" พื้นที่เคลื่อนไหวก็เริ่มแคบลง เผยหุ้นส่วนท่าเรือยิ่งลักษณ์ พัวพันคดีหนีภาษี ก่อนถูกปลดพ้นประธาน

หลังจากสหภาพยุโรป (อียู) เรียกร้องรัฐสมาชิกเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมโครงการวีซ่าทอง (Golden Visa)ในแต่ละชาติ โดยเตือนว่า โครงการนี้ได้ถูกฉวยประโยชน์โดยบุคคล หรือ องค์กรอาชญากรรมต่างๆ สำหรับการฟอกเงิน, คอร์รัปชัน และเลี่ยงภาษี โดยยกตัวอย่าง มอนเตรเนโกร ที่ออกวีซ่าให้"ทักษิณ" นั่นสะท้อนว่า ทักษิณ ถูกยกระดับเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจระดับโลกอย่างสมบูรณ์แบบ
หลายปีก่อนมีการพูดกันว่า “ทักษิณ”จะใช้แผน “โลกล้อมประเทศ” แล้วคุยโวว่า แม้ตัวเองจะเข้าประเทศไทยไม่ได้ แต่ไปที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ในฐานะ“ฝ่ายประชาธิปไตย”แต่กลายเป็นว่า วันนี้ “โลกของทักษิณ”กำลังจะแคบลงเรื่อยๆ รวมถึงล่าสุดที่น้องสาว“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถูกอัปเปหิออกจาก ตำแหน่งประธานบริหารท่าเรือซัวเถา หลังเข้ารับตำแหน่งในเวลาไม่ถึง 1 เดือน... ว่ากันว่าอาจมีสาเหตุมาจาก"รัฐบาลปักกิ่ง" สงสัยว่าหุ้นส่วนชาวสิงคโปร์ ที่ตั้งบริษัทร่วมกัน อาจพัวพันกับ"คดีหนีภาษี" ไม่ใช่แค่เรื่องที่พบว่า ยิ่งลักษณ์ใช้พาสปอร์ตกัมพูชา และต่อมารัฐบาลกัมพูชา แจ้งว่าเป็นพาสปอร์ตปลอมเท่านั้น
"แอปเปิล เดลี" สื่อใหญ่ของฮ่องกง และเพจฯ บูรพาไม่แพ้ ได้รายงานตรวจสอบเบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เดิมท่าเรือแห่งนี้เป็นกิจการในเครือของ "ลี กาชิง" มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ส่วนหุ้นอีกร้อยละ 30 เป็นของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของเมืองซัวเถา ... จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว บริษัทในเครือของ ลี กาชิง ได้ขายหุ้นร้อยละ 70 ที่ถืออยู่ ให้กับบริษัท หวายย่าซั่นโถว 寰亞汕頭有限公司 บริษัทนี้ มีผู้ถือหุ้น 3 ส่วน คือ บริษัทที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จัดตั้งขึ้น ร้อยละ 60 , บริษัทของ "ถัง อี้กัง" นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ร้อยละ 30 และ ชาวฮ่องกง ที่ชื่อว่า "หยัง ถู" ร้อยละ 10 ผู้ถือหุ้นลงขันร่วมกันเป็นทุนจดทะเบียน 100 ล้านเหรียญฮ่องกง
ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้คือ “ถัง อี้กัง”นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่ว่ากันว่าเป็นคนที่เดินเกมในดีลครั้งนี้ และสนิทสนมกับตระกูลชินวัตร ถึงขนาดที่บ้านพักของ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ในฮ่องกงก็เป็นที่อยู่เดียวกัน และยังสนิทกับ อดีตประธานาธิบดี"จอร์จ บุช" แห่งสหรัฐฯ โดยจัดตั้งบริษัททำธุรกิจร่วมกัน และยังเคยบริจาคเงินมากถึง 1.3 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุน "นายเจบ บุช" น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในการหาเสียงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ... ในช่วงปี 2001-2002 บริษัทของ ถัง อี้กัง เคยถูกรัฐบาลจีนตรวจสอบคดีสินค้าหนีภาษี ที่เมืองซัวเถา พนักงานของบริษัทหลายคนถูกดำเนินคดี บริษัทถูกยึดทรัพย์ แต่ ถัง อี้กัง รอดพ้นการถูกดำเนินคดี
การลงดาบจากปักกิ่ง ทำให้ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้หนีกระเจิดกระเจิง มีรายงานว่า บริษัทของ ถัง อี้กัง ลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเป็นมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านหยวน และมีรายงานบางกระแสอ้างว่า หลังจากนั้น ในปี 2007 เขาได้ยอมรับผิดต่อศาลของจีน และถูกตัดสินโทษรอลงอาญา ... แต่ในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ เมื่อปี 2016 ถัง อี้กัง ปฏิเสธคดีหนีภาษีที่ซัวเถา และบอกว่าเขาไม่เคยมีประวัติทำผิดอาญาใด ๆ แต่ต่อมาเขากลับ “กินปูนร้อนท้อง”โดยเสนอจะมอบเงิน 200,000 เหรียญฮ่องกง ให้ผู้สื่อข่าวเพื่อแลกกับการไม่พูดถึงเรื่องคดีหนีภาษี แต่ผู้สื่อข่าวปฏิเสธรับเงินสินบน
ไม่รู้เหมือนกันว่า "ข่าวฉาว" ของยิ่งลักษณ์ จนนำมาสู่การปลดจากตำแหน่งประธานนั้น มาจากการพัวพันกับการมีหุ้นส่วนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือไม่ หรือจีนหวั่นว่า "พี่น้องชินวัตร" จะเข้ามาใช้จีนเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เป็นที่รู้กันว่า ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" เป็นคนที่เกลียดชังการฉ้อโกงและ การคอร์รัปชันอย่างมาก ระหว่างที่อยู่ในอำนาจ เขาจัดการกับคนทุจริตระดับต่างๆไปแล้ว 1.4 ล้านคน หรือวันละ 300 กว่าคน ที่สำคัญการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของทักษิณนั้น ชัดเจนว่า ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับรัฐไทย ในภาวะที่จีนกำลังทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และแย่งกันเป็นผู้นำในภูมิภาค จีนย่อมต้องการมิตร เป็นไปได้ว่า จีนอาจเลือกรัฐบาลไทย ที่มีอำนาจชอบธรรมทางกฎหมายมากกว่าสัมภะเวสี อย่างทักษิณ... เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นที่ของ"พี่น้องชินวัตร" ก็น่าจะแคบลงเรื่อยๆ

** "พลังประชารัฐ" รอวัดใจ "ลุงตู่" จะฟินนอก หรือ ฟินใน ถ้า"ลุงตู่" เลือกแบบฟินนอก แม้ต้องการ ส.ส. แค่ 126 เสียง เพื่อตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ก็อาจจะไม่ง่ายเสียแล้ว

ถึงตอนนี้ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ก็ยังไม่เสี่ยงมาลัย ว่าจะให้พรรคพลังประชารัฐ เอาไปแห่ในบัญชีรายชื่อ "นายกรัฐมนตรี" ของพรรคหรือไม่ เพราะระยะหลังเริ่มมีข่าวว่า "ลุงตู่" อาจจะถอยไปรอตั้งหลักที่ "นายกฯคนนอก" ตอนนี้คนลงขันทั้งเงิน และแรง ในการขับเคลื่อนพรรค เพื่อหวังกลับมาเป็นรัฐบาลแน่ๆ ด้วยแต้มต่อ ส.ว.ในมือ 250 เสียง ก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวน เพราะการไม่มี "ลุงตู่" มาชูโรงนั้น ต่างกันมาก ที่แกนนำหลายคนเคยคุยกันว่าจะได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย... ตามตัวเลขที่คำนวนกัน ถ้าจะได้ ส.ส.ขนาดนี้ ต้องได้คะแนนทั่วประเทศรวมกัน 11-12 ล้านเสียง... การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยทำได้ 15 ล้านเสียง และพรรคประชาธิปัตย์ได้ 11 ล้านเสียง พรรคภูมิใจไทย พรรคอันดับสาม ได้เพียง 1 ล้านกว่าเสียง เมื่อถอดสมการคณิตศาสตร์แล้วลองเดาว่า ถ้าพลังประชารัฐ จะได้คะแนนมากถึง 11-12 ล้านเสียงนั้น จะเอามาจากไหน
ถ้า"ลุงตู่" ยอมให้เสนอรายชื่อในนามพรรค ก็อาจจะเอา "ลุงตู่" มาเรียกคะแนนได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้า "ลุงตู่"ไม่ยอมอยู่ในรายชื่อ กกต.เคยออก "กฏเหล็ก" มาแล้วว่า ห้ามเอารายชื่อคนนอกมาหาเสียง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า พลังประชารัฐจะเอามุกอะไรมาหาเสียง เพื่อให้คนเลือก ดังนั้น ระหว่างได้ "ลุงตู่" มาอยู่ในรายชื่อ "นายกรัฐมนตรี" ของพรรค กับ"ลุงตู่"ถอยไปรอที่นายกฯคนนอก น่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต่างกันมาก ... อย่าลืมว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มี "บัตรเลือกตั้งใบเดียว" ถ้ามีรายชื่อ "ลุงตู่" มาชูโรง ก็หาเสียงง่ายว่า อยากให้"ลุงตู่"เป็นนายกฯ ก็เลือกพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องสนใจว่า ผู้สมัครในพื้นที่เป็นใคร หาเสียงด้วยการชูเป้าหมายเดียวได้ทั่วประเทศ ... แต่ถ้าไม่มี "ลุงตู่" อยู่ในบัญชีรายชื่อ น่าสนใจว่า เป้าหมายของฝั่งนี้ ที่ต้องการเสียง ส.ส.อย่างน้อยแค่ 126 เสียง เพื่อรวมกับ ส.ว.ก็จะตั้งรัฐบาลได้ จะสามารถบรรลุเป้าหมายไหม...
เพราะตอนนี้พรรคที่เชียร์ "ลุงตู่" แบบ "รักจริงหวังแต่ง" หรืออยู่กินกันมาก่อนแต่งแล้ว นอกจากพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็มีเพียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย ของ"กำนันสุเทพ" และ พรรคประชาชนปฏิรูป ของ"ไพบูลย์ นิติตะวัน" เท่านั้น เรื่องที่ว่าง่าย แค่ 126 เสียง ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว 3 พรรคที่ว่านี้ น่าจะมีฐานเสียงที่ทับซ้อนกัน ยังมองไม่ออกเลยว่า 3 พรรคนี้ มีฐานเสียงที่ชัดเจนในพื้นที่ไหน แล้วยังขาย "ลุงตู่" เหมือนกันเสียด้วย ... แถม"พรรคภูมิใจไทย" ที่ใครบอกว่า เอียงมาทางนี้ ก็ไม่แน่เสียแล้ว เพราะเพิ่งชูธงเปิดตัวว่า "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคพร้อมจะเป็น"นายกรัฐมนตรี" และใครต่อใครเชื่อว่า เป็นคนที่มี "ซูเปอร์คอนเนกชั่น" ถึงเวลานั้น นักการเมืองหน้าเดิมที่เป็นคนคุ้นเคยอาจหันหน้ามาคุยกัน แล้วรวมเสียงให้ได้ 376 เสียง เพื่อ"หักด่านส.ว." ก็เป็นได้
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ได้ข่าวว่ามี"อ๊อปชั่น" ทำนองว่าไม่ไปรวมกับฝั่งเพื่อไทยเพื่อตั้งรัฐบาลแน่ แต่ถ้าฝั่งพลังประชารัฐ และแนวร่วม แม้จะมีเสียงเกิน 126 เสียง ตั้งรัฐบาลได้แน่ แต่ถ้าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมแล้วก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็น "รัฐบาลเสียงข้างมาก" คือมีเสียง ส.ส.เกิน 250 คน พรรคประชาธิปัตย์ คงไม่เข้าร่วม เพราะเห็นกันอยู่แล้วว่า "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" ไม่สามารถอยู่ได้นาน ต้องยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่อีก
ตอนนี้จึงต้องรอ "ลุงตู่" ตัดสินใจ แต่ถ้า "ลุงตู่" ยอมให้พรรคพลังประชารัฐ เสนอรายชื่อ ปี่กลองการเมืองก็คงจะคึกคักขึ้น เพราะ"นายกรัฐมนตรี" ที่ถูกชูเป็น "นายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง" ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาขุดคุ้ยกันอย่างสนุกปาก เขาว่า เรื่องนี้แหละที่ทำให้ "ลุงตู่" ยังลังเลอยู่

** นกกระจอกแย่แล้ว.."เทอร์มินอลศาลเจ้า" ส่อเค้าแท้ง เมื่อสภาพัฒน์ ส่งหนังสือเบรกให้กลับไปทำตามแผนแม่บทเดิม

คงยังจำกันได้ เทอร์มินอลรูปทรงศาลเจ้า ของกลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก หรือ“กลุ่มดวงฤทธิ์ บุนนาค” ที่ชนะฟาวล์คู่แข่งมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลายฝ่าย ทั้งความห่วงใยใน เอกลักษณ์ไทย เพราะรูปทรงไปคล้ายกับ"ศาลเจ้า" แล้วยังคล้ายกับสนามบินบางแห่ง รวมทั้งความห่วงใยเรื่องโครงสร้าง ที่สร้างด้วยไม้ และความปลอดภัยทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย การทำความสะอาด และการซ่อมบำรุง ห่วงกันว่า สนามบินจะกลายเป็นที่ทำรังของฝูงนก ... นอกจากนั้นยังเป็นแบบที่ไม่ได้ชนะที่ 1 จนกระทั่งคู่แข่งที่ชนะที่ 1 แต่ถูกปรับ"แพ้ฟาวล์" ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่เมื่อศาลปกครอง มีคำสั่งไม่รับคุ้มครองชั่วคราว ทอท.ได้แถลงว่าจะเดินหน้าโครงการทันที นั่นแปลว่า กลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก หรือ “กลุ่มดวงฤทธิ์ บุนนาค”ที่ได้คะแนนเป็นที่ 2 จะได้งานไป โดยไม่ต้องรอฟังคำตัดสินของศาลปกครอง...
ทั้งนี้ ทอท. อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีอาจเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายได้ ซึ่งไม่ยากแก่การเยียวยาในภายหลังหากศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชนะคดี สรุปง่ายๆ คือ ถ้าแพ้ก็เอาเงินจ่ายไป จนกระทั่งมีคำถามว่า เงินที่เอาไปจ่ายนั้นเป็น "เงินส่วนตัวของผู้บริหารทอท." หรือ ของใคร ... ขณะที่ "รศ.ดร.สมเจตน์ ทิณพงษ์" อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) ผู้พัฒนาโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า การที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ใช้เงินลงทุนกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท นั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่สอดรับกับแผนแม่บท หรือ Master Plan เดิม ที่ได้วางกรอบการพัฒนาไว้ เมื่อปี 2536 ที่จะรองรับผู้โดยสารได้ถึง 120 ล้านคนต่อปี
เรื่องนี้ทำท่าจะเงียบหายไประยะหนึ่ง กระทั่งล่าสุด ได้มีหนังสือจากหนังสือสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) ลงวันที่ 16 ม.ค.62 แจ้งผลมติคณะกรรมการ สศช. ที่พิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการงานก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก เป็นงานก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันตก ตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปีงบประมาณ 2554-2560 วงเงินรวม 6,650.426 ล้านบาท ต่อปลัดกระทรวงคมนาคม ... พร้อมกับชี้เปรี้ยงลงไปว่า แผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ฉบับ กันยายน ปี 2561 ที่นำเสนอมาครั้งนี้ จนนำมาสู่การประมูลได้แบบเทอร์มินอลรูปทรงศาลเจ้าญี่ปุ่น ที่ ทอท. อ้างว่าเพื่อเพิ่มเป้าหมายการพัฒนาเพื่อรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดจาก 120 ล้านคนต่อปี เป็น 150 ล้านคนต่อปี ในปี 2578 ทำให้ มีการกำหนดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในท่าอากาศยานเพิ่มเติม ขณะที่แผนแม่บท ปี 2561 คาดว่า ในปี 2578 จะมีปริมาณผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 120.6 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานฯ ตามแผนแม่บทฯ ปี 2561 ... นอกจากนี้ แผนแม่บทฯ ดังกล่าว ยังไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ของประเทศในระยะ 20 ปี อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงผลกระทบ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการส่งเสริมการพัฒนาท่าอากาศยานของประเทศในภาพรวมด้วย
ดังนั้น สศช. จึงเห็นควรให้ ทอท. ดำเนินการประสานกระทรวงคมนาคม เพื่อร่วมกันพิจารณา "ทบทวนความเหมาะสม" ของปริมาณผู้โดยสาร โดยคำนึงถึง "บริบทการพัฒนาประเทศในอนาคต" เพื่อใช้ในการกำหนดกรอบการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนภายใต้แผนแม่บทเป็นไปอย่าง "คุ้มค่า" และสามารถรักษาระดับการให้บริหารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวให้เป็นไปตาม "มาตรฐานสากล" ด้วย
มันตอกย้ำว่า สิ่งที่ ทอท.พยายามทำนั้นไม่คำนึงถึง "บริบทในอนาคต" "ไม่คุ้มค่า" และอาจ "ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากล" ถึงตรงนี้อนาคตของ "เทอร์มินอลทรงศาลเจ้า" น่าจะจบลงแล้ว ก็ต้องรอดูว่า ผู้บริหาร ทอท. จะ"พลิกแพลง"ไปตามกระบวนท่าไหนอีก

--------
รูป
- ยิ่งลักษณ์ ชันวัตร - ถัง อี้กัง
- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
-ดวงฤทธิ์ บุนนาค – อาคารผู้โดยสารสนามบินสนามบินสุวรรณภูมิ แห่งที่ 2 ทรงศาลเจ้า
กำลังโหลดความคิดเห็น