xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อยู่กับเรา “กระเป๋า(ใคร)ตุง” อยู่กับลุงได้ “บัตรเติมเงิน”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุด “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีบารมีเหนือ “พรรคเพื่อไทย” และพรรคเครือข่าย ก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยการเปิดเกมรุกทางการเมือง “สถาปนา” ช่องทางการสื่อสารเพื่อใช้ ปฏิบัติการทางจิตวิทยา(Information Operations) ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว thaksinofficial.com มาถึงประชาชนในสังกัด โดยเปิดตัวไปเมื่อวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา

ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญและต้องจับตาในช่วงที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึงในเร็ววัน เพราะปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามีจิตเจตนาที่จะตั้งชื่อและตั้งใจชมกับรายการของรัฐบาล คสช.ที่พล.อ.ประยุทธ์ออกมาจ้อชี้แจงเรื่องต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์ในทุกคืนวันศุกร์โดยตรง

เป็น “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธีเคลื่อนไหวทางการเมือง” ที่ตั้งใจผลิตออกมาสู้กับรัฐบาลภายหลังเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองในทุกมิติ

แน่นอนคงไม่ต้องถามว่าจะกระทบกับ “ความมั่นคง” หรือไม่ เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวเอาไว้ชัดๆ ว่า “คิดว่าคงมีคนติดตามข่าวสาร”

และจะว่าไปก็สอดรับกับ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ที่กำลังก่อหวอด กดดันรัฐบาล คสช. เรื่องเลื่อนเลือกตั้ง โดยขู่เคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 19 ม.ค. ถ้ายังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งออกมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงคำขู่คำรามที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะเสียงตอบรับจากสังคมมีน้อยถึงน้อยมาก

“นายใหญ่คนเสื้อแดง” เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจThaksin Shinawatra โดยเริ่มต้นว่า “เรียนพี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน” จากนั้นก็อรรถาธิบายถึงวัตถุประสงค์ของการเปิดเว็บดังกล่าว ซึ่งหลักใหญ่ใจความ ก็คือการถ่ายทอดประสบการณ์ ช่วง 12 ปี ที่ต้องออกไป เร่ร่อน ท่องโลก ได้พบกับผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พบผู้นำทางธุรกิจ นักวิชาการ ได้เห็นความเจริญ ความล้าหลังของประเทศต่างๆ

แต่ที่เน้นเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ” ที่เหมือนจะเป็น “จุดบอด จุดตาย” ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” ในสายตาประชาชน โดย “ทิ่มหมัด” เข้าใส่แบบจังๆ ด้วยการดรามาให้เห็นถึงปัญหาของชนชั้นรากหญ้าที่พูดอีกก็ถูกอีกว่า “อดเป็นห่วงคนตัวเล็กๆ ในชนบทไม่ได้ เพราะจะเริ่มทำมาหากินลำบากขึ้น ธุรกิจขนาดกลางก็จะเหนื่อยขึ้น ถ้าไม่แข็งแกร่งจริง จะรอดยาก ดังนั้น เราต้องมีผู้นำที่รู้เท่าทันเทคโนโลยี และนำมาประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จึงจะพาตัวรอดได้”

สิ่งที่ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” พูดนั้นแม้ดูเหมือนจะเป็นการบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก ในด้านการเงิน ธุรกิจ เทคโนโลยี และสุขภาพ แต่ความระหว่างบรรทัดนั้น เหมือนเป็นการเปิดหน้าชกกับ “รัฐบาลบิ๊กตู่” หนักขึ้น แบบคนไม่มีอะไรจะเสีย... และน่าจะเป็น “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วก่อนที่จะ “ปล่อยของ” ออกมา

เพราะถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า “คนเสื้อแดง” และ “ระบอบทักษิณ” เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันในทุกองคาพยพ ไม่ว่าจะ “แดงแบบเปิดเผย” หรือ “แดงแบบซ่อนเร้น” ก็ตาม

เรียกว่าเป็นการ “ย้ำคิดย้ำทำ” และ “ย้ำไปเรื่อยๆ” ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่เมื่อทำซ้ำบ่อยๆ อาจมีผู้คนบางส่วนเห็นคล้อยตามก็เป็นได้ และระบอบทักษิณก็ประสบความสำเร็จมาแล้วในการปลุกระดมคนเสื้อแดง

ตัวอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือ “เจ๊หน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เจ้าของฉายา “แม่ยายแห่งชาติ” เบอร์หนึ่งของพรรค(ในเวลานี้) ที่ไม่ว่าจะไปปราศรัยที่ไหน ก็ต้องหยิบยกเรื่องเศรษฐกิจมาโจมตีรัฐบาลลุงตู่ทุกครั้งไป

โดยเฉพาะวาทกรรม “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ” ในการเดินสายหาเสียง จน “ลุงตู่” ต้องออกมาตอบโต้ว่า “ก็ต้องไปถามคุณหญิงสุดารัตน์เอาเองแล้วกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยชูแคมเปญหาเสียงไปในท่วงทำนองเดียวกันว่า “ยิ่งเลื่อนเศรษฐกิจยิ่งแย่ ประชาชนยิ่งสิ้นหวัง” เป็นต้น

สิ่งที่ “แม่ยายแห่งชาติ” พยายามตอกย้ำพร้อมๆ กับการเปิดตัวรายการของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ มีคำถามตามมาว่า “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ” นั้น จริงกี่ส่วน เท็จกี่ส่วน โดยเฉพาะการประโคมโอ่ว่า “อยู่กับเรากระเป๋าตุง” นั้น สังคมต้องถามย้อนกลับไปว่า “เราที่กระเป๋าตุง” นั้นเป็นใคร ประชาชนหรือคนของระบอบทักษิณกันแน่

เพราะเท่าที่เห็น คนที่กระเป๋าตุงกว่าก็คือ “ทักษิณและวงศ์วานว่านเครือ” ต่างหาก

ไม่เชื่อลองไปย้อนดูก็ได้ว่า นับตั้งแต่ “ทักษิณ” กระโจนเข้าสู่แวดวงการเมือง ทรัพย์ศฤงคารของครอบครัวนี้เพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่ นี่ขนาดถูกยึดทรัพย์จากการทุจริตไปบานตะเกียง ยังเหลือเงินไป “ชอปปิง” กิจการในต่างประเทศให้เห็นเป็นระยะๆ ไม่นับรวมถึง “ชีวิตไฮโซ” ที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ขณะที่ “พี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย” ต้องตกระกำลำบาก บางรายต้องติดคุกติดตะรางแทน “นาย” ตัวอย่างที่เห็นก็คงหนีไม่พ้นในรายของ “เสี่ยฮุก-บุญทรง เตริยาภิมย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องติดคุกจากกรณีทุจริตโครงการ “ระบายข้าว” ของ “พรรคเพื่อไทย” และไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้เป็นนาย จน “ลูกชาย” ต้องตัดสินใจ “ย้ายค่าย” ให้โลกรู้นั่นปะไร

“หมอโด่ง” พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการของนายบุญทรง คนสนิทเจ๊ จิ๊กซอว์คนสำคัญในคดีทุจริตรับจำนำข้าวนั่นก็กระเป๋าตุงหนีคดีไปอยู่ไหนก็ไม่รู้

ส่วนตัว “เจ๊” ซึ่งวางหมากอยู่เบื้องหลังเองก็ร่ำรวยผิดหูผิดตา เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองชนิดกินกี่ชาติก็ไม่หมด ไม่เชื่อไปถามใครดูก็ได้ว่าก่อนที่พี่ชายจะมีอำนาจ สถานภาพของเจ๊เป็นอย่างไร แล้วในวันนี้เป็นอย่างไร

ไม่เว้นแม้แต่ตัว “นายกฯ นกแก้ว” เองที่ก็หนีคดีไปตามช่องทางธรรมชาติแล้วยังไปนั่งแท่นเป็นประธานและผู้แทนโดยชอบธรรมของ บริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ จำกัด (Shantou International Container Terminal) หรือ เอสไอซีที บริษัทบริหารท่าเรือในเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศจีน

เสก “ข้าว” เป็น “ท่าเรือ” ให้เห็นกันจะ

เห็นหรือไม่ว่า กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น...

ส่วน “ชาวนา” นั้นเป็นแค่เพียง “ปลายทาง” ของ “เศษเงิน” ที่ร่วงหล่นมาให้พอเป็นพิธี และก็ไม่เคยจะมีใคร “เป๋าตุง” จากนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดสักกี่มากน้อย

อย่างไรก็ดี ไม่น่าแปลกใจที่ “ระบอบทักษิณ” จะพากันใช้วาทกรรมนี้มาเป็นธงในการเคลื่อนไหว เพราะขณะนี้มนต์ดำของลัทธิ “ประชานิยม” ที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงฐานมวลชนเริ่ม “เสื่อม” ลงไปทุกที โดยเฉพาะหลังจากที่ “รัฐบาลลุงตู่” ทำคลอด “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือ “บัตรคนจน” ที่ส่งตรงถึงมือประชาชนคนรากหญ้า

เรียกว่าเป็นการ “ย้อนเกล็ด” ที่สะเทือนระบอบทักษิณจนแทบคลุ้มคลั่ง

โดยเฉพาะล่าสุดที่มีการเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่(ครม.สัญจร)ที่จังหวัดเชียงใหม่และลำปาง วันที่ 14-15 มกราคมสดๆ ร้อนๆ ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเสียใหม่ โดยให้ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดเพื่อนำไปใช้จ่ายตามความต้องการในแต่ละเดือนได้ แต่ขณะเดียวกันยังมีเหลืออีกส่วนหนึ่งจะยังคงไว้แบบเดิมสำหรับใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในร้านโชว์ห่วย ร้านธงฟ้าประชารัฐแบบเดิมต่อไป

“วันนี้ที่ประชุมครม.ได้มีการหารือถึงการพัฒนาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเป็นเงินสดได้และนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นตามที่ทุกคนต้องการ เป็นเงินจำนวนหนึ่งจากยอดที่ให้ไปทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามจะต้องเหลือเงินจำนวนหนึ่งไว้ใช้ซื้อของในร้านค้าประชารัฐด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะนำไปใช้ซื้ออย่างอื่นหมด ผมเข้าใจดีถึงความจำเป็นของประชาชน โดยได้มีการประเมินการใช้จ่ายงบประมาณครั้งนี้ไปพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้บ้างและบางส่วนที่ยกระดับไม่ได้ก็จะมีมาตรการอื่นเสริมเข้าไป”นายกฯ ลุงตู่ปรับเปลี่ยนบัตรเอาใจคนจน 15 ล้านคนแบบเด็ดสะระตี่จริงๆ

กล่าวคือผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับเดือนละ 300 บาท ส่วนผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาท ได้รับ 200 บาทต่อเดือน สามารถเปลี่ยนเป็นสามารถกดเงินสดได้ผ่านตู้ ATM และสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้โดยผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี กดเงินสดได้เดือนละ 200 บาท และอีก 100 บาทสำหรับซื้อสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ ส่วนผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาท กดเงินสดได้เดือนละ 100 บาท และอีก 100 บาทสำหรับซื้อสินค้าร้านธงฟ้าประชารัฐ

ทั้งนี้ กล่าวสำหรับ “บัตรคนจน” นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตระยะที่ 1 ใช้เงินไปประมาณ 6,000 ล้านบาท ระยะเวลา 10 เดือน ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) รายงานว่า สร้างผลประโยชน์ตอบแทนถึง 26,000 ล้านบาท โดยวัดจากค่าเฉลี่ยรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้เข้าฝึกอบรมอาชีพ ดังนั้น จึงจะมีการพัฒนาต่อในระยะที่ 2 ใช้งบประมาณ 4,300 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนถึงมิถุนายนนี้ ซึ่งจะเน้นกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าพัฒนาอาชีพประมาณ 8.78 แสนราย และตั้งเป้าให้ผู้ที่ผ่านการพัฒนาแล้วแต่ยังมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีที่มีอยู่ประมาณ 1 ล้านคนให้พัฒนาต่อเนื่องจนกว่าจะหลุดพ้นจากเส้นความยากจนคือมีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สศค.บอกว่า ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าร่วมมาตรการจำนวน 4,145,397 ราย ซึ่งได้รับการพัฒนาแล้ว 3,267,941 ราย จากผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตร ข้อมูล ณ สิ้นปี 2561 สามารถติดตามได้จำนวน 2ฅ607,195 ราย หรือคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่พัฒนาแล้ว พบว่า มีผู้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 บาทต่อปี หรือเป็นผู้พ้นจากเส้นความยากจนมีจำนวน 1,012,727 ราย เหลือผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีจำนวน 1,040,842 ราย และมีผู้มีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปีจำนวน 115,116 ราย

ทำไปทำมา ทำท่าต้องเปลี่ยนสโลแกนใหม่เป็นว่า “อยู่กับเรากระเป๋า(ใคร)ตุง อยู่กับลุงได้ “บัตรเติมเงิน” น่าจะเหมาะสมกว่า

ขณะที่พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคบริวารที่แตกตัวไปตามยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” ไม่ว่าจะเป็นในชื่อไทยรักษาชาติ หรือชื่อใดก็ตามเวลานี้ถือว่า “ไม่มีอะไรใหม่” ขายแต่วาทกรรม “ประชาธิปไตย” ไปวันๆ ตามความเคยชินกับการอยู่ใต้ร่มเงาของ “นายใหญ่” ที่ออกมาในแบบ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จนไม่อาจสลัดภาพดังกล่าวให้หลุดไปได้

และถ้า “เจ๊หน่อย ทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย” มั่นใจในแนวทางและความแข็งแกร่งของตัวเอง ก็ขอให้ประกาศออกมาดังๆ ต่อหน้าสาธารณชนว่า “เมื่อใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะยกเลิกบัตรคนจนไปในทันที” แล้วจะรู้ว่า “ผลจะออกมาอย่างไร”

แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้ วาทกรรม “เป๋าตุง เป๋าแฟบ” ได้ถูกนำมาใช้ในทุกมิติของระบอบทักษิณ และจะมีการตอกย้ำในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้ง่ายๆ เพราะก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า อารมณ์ของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของชาตินั้น มีแนวโน้มว่าจะเห็นคล้อยตามวาทกรรมดังกล่าวได้ง่าย

ไม่ใช่ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.8 เปอร์เซ็นต์ตามที่หน่วยงานรัฐประโคมโอ่ แล้วประชาชนคนรากหญ้า ตลอดรวมถึงคนชั้นกลางเขาจะเชื่อเสียเมื่อไหร่ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ชาวบ้านจับต้องไม่ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว การเร่งทำงานเพื่อให้ประชาชนสัมผัสผลงานได้จึงเป็น “คำตอบสุดท้ายของรัฐบาลลุงตู่” เพียงประการเดียวเท่านั้น.


กำลังโหลดความคิดเห็น