xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปม “ยิ่งลักษณ์” ถือพาสปอร์ต “แขมร์” # มีรัฐมนตรีต่างประเทศไว้ทำไม?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ดอน ปรมัตถ์วินัย
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จะว่า พูดไม่ออก ก็คงจะใช่...

จะว่า ไปไม่เป็น ก็คงไม่ผิด...

สำหรับปฏิกิริยาของ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่อกรณี “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีหนีคดี ถือพาสปอร์ต “กัมพูชา” เป็นหลักฐานประกอบการขอจดทะเบียนเป็นกรรมการแต่เพียงผู้เดียวของ บริษัทพีทีคอร์ปอเรชั่นที่ฮ่องกงจากการเปิดเผยของ “เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รวมถึงประเด็นที่คุณเธอไปนั่งแป้นดำรงตำแหน่งประธาน และผู้แทนโดยชอบธรรมของ บริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ จำกัด (Shantou International Container Terminal) หรือ เอสไอซีที บริษัทบริหารท่าเรือในเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศจีน

ไม่มีใครพูด...ไม่มีใครแสดงความคิดเห็น...เสมือนหนึ่ง “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” จงใจปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปตามธรรมชาติ โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ หลุดออกมาจากปาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและสั่นสะเทือนต่อสถานะของ “รัฐไทย” ไปในทางลบ ด้วยการที่ถูก “มหามิตร” อย่าง “จีน” และ “กัมพูชา” ปล่อยให้นักโทษหนีคดีของไทยสามารถใช้ “เอกสิทธิพิเศษ” ในการเคลื่อนไหวอย่าง “ไม่เห็นหัว”

จะมีก็แต่ “ฝ่ายกัมพูชา” เท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อน จนต้องออกมาชี้แจงแถลงไขถึงต้นสายปลายเหตุ จนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้น

อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้สูงว่า น่าจะมี “ปฏิบัติการใต้ดิน” จากรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะ “จีน” ที่บีบให้ “สมเด็จฮุนเซน” จำต้องแสดงท่าทีเกี่ยวกับเรื่องพาสปอร์ตกัมพูชาของชาวต่างชาติ ซึ่งคำสั่งนี้ ผูกโยงกับปมร้อนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนที่จะมองหน้ากันไม่ติดไปมากกว่านี้จากการเล่นบท “นกสองหัว”

14 มกราคม 2562 เว็บไซต์ พนมเปญโพสต์ (The Phnom Penh Post) ของกัมพูชา ได้รายงานงานว่า รัฐบาลกัมพูชาเตรียมสั่งยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูตที่ออกให้ชาวต่างชาติทั้งหมด โดยระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือนานาชาติเตรียมจะยกเลิกหนังสือเดินทางทางการทูตที่ออกให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นคนกัมพูชาโดยกำเนิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวน่าจะเชื่อมโยงกับกรณีที่มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ใช้พาสปอร์ตกัมพูชาในการจดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัทในฮ่องกง เมื่อเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้ออกหนังสือคำสั่งเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางให้ชาวต่างชาติซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยนักการเมืองระดับสูงและหน่วยงานของรัฐ โดยหนังสือดังกล่าวออกเมื่อวันพุธที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ลงนามโดยสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ชาวต่างชาติที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐระดับสูงถือว่าเป็นคนสัญชาติกัมพูชา และได้สิทธิในการถือหนังสือเดินทางกัมพูชา อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการนำหนังสือเดินทางดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด รัฐบาลจึงออกคำสั่งห้ามออกหนังสือเดินทางทางการทูตให้คนที่ไม่ได้เกิดในกัมพูชาอีก ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นสูงสุด

หนังสือที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนดังกล่าว ยังได้สั่งการให้ทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานจะต้องเก็บรวบรวม “พาสปอร์ตทางการทูต” ที่เคยออกให้ที่ปรึกษาและผู้ช่วยที่ไม่ได้เป็นคนกัมพูชาโดยกำเนิด และส่งมอบให้กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือนานาชาติภายในเวลา 1 เดือนนับตั้งแต่ออกคำสั่งนี้

คำสั่งยังระบุอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและยกเลิกหนังสือเดินทางที่ออกให้คนที่ไม่ได้เป็นชาวกัมพูชาโดยกำเนิดเหล่านั้น และให้กระทรวงมหาดไทยป้องกันไม่ให้มีการใช้หนังสือเดินทางดังกล่าวในการเดินทางเข้าออกประเทศกัมพูชา

อย่างไรก็ดีกระทรวงการต่างประเทศฯ กัมพูชาปฏิเสธที่จะออกความเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการใช้พาสปอร์ตกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่

นี่น่าจะเป็นวิธีการแก้วิกฤตทางการทูตที่ “ละมุนละม่อม” และเป็นไปแบบ “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” พอสมควรทีเดียว เพราะถ้าไม่มีใครขยับ ไม่มีใครพูดหรือทำอะไรให้เห็นเป็น “รูปธรรม” แรงกดดันก็ลุกลามบานปลายออกไปแบบงูกินหาง ประชาชนของประเทศนั้นๆ ก็จะต้องถามรัฐบาลของตนเอง และรัฐบาลของตนเองก็ต้องไปไล่บี้เอากับรัฐบาลประเทศที่เกี่ยวข้องให้มีคำตอบออกมาให้ชัดเจนเป็นทอดๆ

ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนของไทยก็จะต้องถามว่า แล้วทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ออกมาบ้าง จากนั้นรัฐบาลไทยก็จะต้องถามว่า ทำไมสมเด็จฮุนเซนถึงได้ออกพาสปอร์ตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีได้ ความสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ย่อมจะแตกร้าว เพราะถ้ารัฐบาลฮุนเซนทำกับไทยได้ ก็อาจออกพาสปอร์ตทางการทูตให้กับชาวต่างชาติในกลุ่มอาเซียนที่หนีคดีในลักษณะเดียวกันได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับรัฐบาลสี จิ้นผิง ที่จะต้องตอบคำถามถึงการปล่อยให้นักโทษหนีคดีมาใช้ประเทศของตัวเองในการเคลื่อนไหวทางการเมืองและประกอบธุรกิจจากรัฐบาลไทย จนต้องย้อนไป “กดดัน” รัฐบาลฮุนเซนว่า “เฮ้ย ไอ้พาสปอร์ตทางการทูตที่ยูออกให้ยิ่งลักษณ์มันของจริงหรือของปลอมกันแน่(วะ)” และอาจจะตามมาด้วยการจำกัดการเคลื่อนไหวของ “พี่น้องชินวัตร” ไม่ให้กระทำการใดๆ ได้ตามใจชอบเหมือนเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป

แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เห็นได้ชัดเจนว่า น่าจะทำกันใน “ทางลับ” มากกว่าเปิดเผยอย่างเป็นทางการ เพราะนอกจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลฮุนเซนแล้ว ก็ไม่เห็นมีรัฐบาลไหนออกมาตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้

ส่วนรัฐบาลไทยนั้น หลังเงียบเป็น “เป่าสาก” กันมาหลายวัน มาวันนี้ “ทูตดอน-ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “ดอกพิกุล” เพิ่งจะร่วงออกมาจากปากหลังมีความเคลื่อนไหวออกมาจาก “รัฐบาลฮุนเซน” แต่เห็นท่าทีของ ทูตดอนแล้ว ก็ต้องติดแฮชแท็กให้ทันทีเลยว่า #มีรัฐมนตรีต่างประเทศไว้ทำไม เพราะช่างตอบคำถามได้ “แย่” เหลือกำลัง

ทูตดอนให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวเอาไว้ว่า “ การที่กัมพูชายกเลิกหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่ใช่เพราะไทยจี้ขอให้ยกเลิกไปในช่วงนี้ แต่ได้พูดคุยเรื่องนี้กันมาก่อนหน้านี้ 6-7เดือนแล้ว กัมพูชารู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ยกเลิกคงเป็นเพราะเรื่องการถือพาสปอร์ตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ แพร่ออกไปอย่างกว้างขวางเกินกว่าที่ควรจะเป็น เขาจึงยกเลิก ถือเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราแคร์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน กัมพูชาถือเป็นเพื่อนของเราจะต้องทำงานร่วมกันในหลายเรื่อง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าของหนังสือเดินทางกับกัมพูชา ยืนยันว่าไม่ได้มาจากการขอร้องของเราในช่วงนี้ ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปปรากฏตัวที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ทางการจีนก็รับรู้เรื่องนี้ และมีมาตรการของเขา โดยรับรู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีคดีความและไทยกำลังติดตามตัวอยู่”

แหม...อยากจะใช้คำแรงๆ เสียเหลือเกินว่า “ยังมีหน้ามาพูด”

ทูตดอนจะมาบอกทำไมว่า ไม่เคยร้องขอ กัมพูชาทำเพราะแคร์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน

ต้อง “กราบประทานโทษ” ท่านทูตดอน ที่จะพูดตรงๆ ว่า แล้วทำไมถึงไม่ร้องขอ แล้วทำไมถึงไม่พูดหรือมีปฏิกิริยาอะไรใดๆ ออกไปบ้าง นี่มันหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่หรือ

อย่างไรก็ดี ข่าวจากพนมเปญในเรื่องพาสปอร์ตทางการทูตของนางสาวยิ่งลักษณ์มีเรื่องราวระหว่างบรรทัดให้ต้องตีความมากมาย

ประเด็นแรก หนังสือที่ลงนามโดยสมเด็จฮุนเซนแสดงให้เห็นว่า การออกพาสปอร์ตทางการทูตให้กับชาวต่างชาติของรัฐบาลกัมพูชาเกิดขึ้นจริง ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่า มีชาวต่างชาติกี่มากน้อยที่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว แต่ก็มั่นใจได้ว่า ในจำนวนนี้ย่อมมีชื่อของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยรวมอยู่ด้วย

และดีไม่ดีอาจมีชื่อของ “เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาวของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร และภรรยาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมอยู่ด้วย เพราะ “น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์” หรือ “เชอรี่” ลูกสาวคนเล็กของเจ๊แดงมีสามีเป็นชาวกัมพูชา แถมไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาด หากแต่คือ “นายลินัล นัม” เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชา บุตรชายของ มาดามอ้วน วันลี กับนายเลียง นัม นักการเมืองชื่อดัง ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ตัวเธอจะใช้ “สิทธิพิเศษ” ดังกล่าวได้

ประกอบกับขณะนี้เธอก็ “หายเข้ากลีบเมฆ” ไปแบบไร้ร่องรอยจนไม่มีใครรู้ว่ายังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ก่อนที่เธอจะส่งทนายมาฟ้องร้องดำเนินคดีนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือเป็บซี่ นักข่าวชื่อดัง เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาในประเด็นดังกล่าว และศาลประทับรับฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ประเด็นที่สอง แม้รัฐบาลฮุนเซนจะยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูตของชาวต่างชาติและมีคำสั่งให้เก็บคืนภายใน 1 เดือน แต่ก็ยังมี “ข้อยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นสูงสูด” โดยมี “ภาคผนวก” พ่วงท้ายเอาไว้ ซึ่งก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่า นางสาวยิ่งลักษณ์อาจเข้าข่ายได้รับการยกเว้นก็เป็นได้...ใครจะไปรู้ เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า ชินวัตรคอนเนกชันกับรัฐบาลฮุนเซนนั้น แนบแน่นเพียงใด

ประเด็นที่สาม นายคิน เพีย (Kin Phea) ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แห่งราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา ได้แสดงความเห็นไว้ว่า คำสั่งดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือการใช้พาสปอร์ตทางการทูตกรณีอื่นๆ แต่ทางการกัมพูชาก็ได้ปฏิเสธรายงานข่าวที่ปรากฏทางสื่อไปแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอะไรต่อ ถ้าประเทศไทยไม่ได้ขอความร่วมมือมาในกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

แปลไทยเป็นไทยได้ว่า รัฐบาลฮุนเซนแบไต๋ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการใดๆ ถ้ารัฐบาลไทยไม่ได้ขอความร่วมมือมาในกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์

คำถามก็คือ แล้วรัฐบาลไทยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ขอความร่วมมือให้มีการตรวจสอบพาสปอร์ตทางการทูตต่อรัฐบาลกัมพูชาหรือไม่ อย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น