xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

** วิกฤติหมอกพิษ! ฝุ่น P.M2.5 ในเมืองกรุง วิกฤติหนักมา 4-5 วันแล้ว แต่รัฐบาลพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ ปล่อยเวลาผ่านไปวันวัน ขณะที่ผู้ค้าก็ ฉวยโอกาสซ้ำเติม โขกราคาหน้ากากอนามัย กันหน้าตาเฉย
คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถามหามาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เจอปัญหามา สี่ซ้าห้าวันแล้ว สถานการณ์วิกฤติขึ้นเรื่อยๆ สภาพอากาศที่เลวร้าย เมืองที่ตื่นเช้ามาเจอหมอกพิษปกคลุมก็ทุกข์พออยู่แล้ว ยังมาถูกพวกฉวยโอกาส "โขกราคา" ขายหน้ากากอนามัย แบบ N95 ที่ใช้ป้องกันเสียอีก ถึงตอนนี้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ เพราะของหมด พอของหมดก็หันไปหาหน้ากากแบบอื่น ซึ่งไม่ได้ผลเท่าไหร่ จำเป็นต้องเป็นแบบ N95 เพราะ เป็นหน้ากากที่ใช้เฉพาะทาง ป้องกันเชื้อโรค กันฝุ่น ส่วนใหญ่ใช้ในทางการแพทย์ แต่ว่า การสวมหน้ากาก N95 ก็ต้องมีข้อพึงปฏิบัติพอควร ถ้าจะให้ป้องกันได้เต็มที่ เช่น หน้ากากต้องใส่คู่กับชุด ถุงมือ คลุมหัว คือ ต้องละเอียดมากในการใช้ ซึ่งบางทีก็ไม่สะดวก ยิ่งคนที่ต้องเดินทางไปทำงาน หรือออกจากบ้านโดยพึ่งพาขนส่งมวลชน การจะใส่ N95 ที่ถูกต้อง มันต้องแนบสนิทติดหน้าจริงๆ ต้องรัดเชือกตรงจมูก อะไรอีก ถ้าปิดแค่หน้า แต่มือไม้ เสื้อผ้า ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด เข้ามาภายในอาคาร ถอดหน้ากากออก แต่มือป้ายหน้า ก็มีค่าเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย
วิกฤตฝุ่นละอองครั้งนี้ ให้ความรู้สึกว่าประชาชนพึ่งพาอาศัยรัฐบาล และหน่วยงานรัฐอะไรไม่ได้เลย การตรวจวัด ก็ด่ากันขรม การบอกค่าของกรมควบคุมมลพิษ ที่บอกว่า ตรวจ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ เจอไม่เกิน 70-100 g/mคนก็สงสัยกัน ไม่รู้ท่านไปตรวจที่ไหน เพราะเช้าวานนี้ (14ม.ค.) ค่าฝุ่นละอองทะลุขึ้นมา 114 g/m และ อีกอย่าง ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของกรมฯ ใช้เตือนภัยในชีวิตจริงไม่ได้ ประชาชนต้องการรู้ค่ารายชั่วโมง ณ เวลานั้นๆ... หนักข้อเป็นตลกร้ายที่แชร์กันหนัก ก็คือ "กรมควบคุมมลพิษ" ออกประกาศหน้าตาเฉยว่า ค่า 195 ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ... เรื่องนี้จะดูเบาไม่ได้ งานเร่งด่วนมีแต่การฉีดน้ำของ กทม. และรอฝนหลวง รัฐบาล คสช. มีอำนาจเด็ดขาด แต่กลับบริหารจัดการแบบชิลชิล ซื้อเวลา ปล่อยให้วิกฤตผ่านไปวันๆ
คำอธิบายของทางการล่าสุด บอกว่า ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากการศึกษาวิเคราะห์ พบว่า 50-60% เกิดจาก "รถปิกอัพ รถบรรทุก รถประจำทาง ขสมก. ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล" ที่มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ อีก 35% เกิดจากการเผาในที่โล่ง เหมือนจะรู้ซึ้งถึงปัญหาดี แต่ห้วงเวลานี้ สิ่งที่คนอยากเห็น และให้รัฐบาลทำมากที่สุด คือ“ดูแลแบบพิเศษ”กันหน่อย ได้หรือไม่ ออกมาตรการ หรือ ตั้งวอร์รูมไปเลย เพื่อแจ้งประชาชนอย่างเป็นระบบ อย่างเร่งด่วน หรือ จัดการอุปกรณ์ป้องกันให้เพียงพอ ต้องระดมสรรพกำลังกันก็ต้องทำ ชั่วๆดีๆ เปลี่ยนรายการบางรายการของทีวีรัฐ ให้เป็นช่องทางแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบ หากมีอะไรฉุกเฉิน จะได้แจ้ง หรือกระจายข้อมูลข่าวสารของโซเซียลมีเดียของรัฐบาล กระทั่ง "เพจลุงตู่" ก็ควรจะใช้โอกาสนี้ ร่วมมือกันแจ้งประชาชนว่า รัฐจะทำอะไรบ้าง เพื่อ"บรรเทา"ปัญหานี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิด มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มาตลอด แต่ที่คนกรุงสัมผัสได้ในรอบ 4 วันที่ผ่านมา ที่เจอหนักๆ คือ รัฐบาล และหน่วยงานรัฐ ไม่ได้ทำอะไรเลย

** "แม้ว"เปิดแนวรุก โผล่เฟซบุ๊ก ไลฟ์สดผ่านไอจี นัดเจอชาวไทยทุกวันจันทร์ แม้ครั้งแรกนี้จะเป็นการเล่าประสบการณ์ 12 ปี ที่ไปเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ได้เห็นว่าโลกเขาก้าวกันไปถึงไหนไหน ก็อดเป็นห่วงประเทศไทยไม่ได้ แต่ความระหว่างบรรทัด เหมือนเป็นการเปิดหน้าชกกับ "รัฐบาลบิ๊กตู่" แบบคนไม่มีอะไรจะเสีย... ก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับคดี "ฟอกเงิน" ของ "ลูกโอ๊ค" หรือเปล่า ที่ตอนนี้คดีขึ้นสู่ศาล ใกล้ถึงไคลแมกซ์เข้าไปทุกที แถมเจรจากับใครก็ไม่ได้เสียด้วยซี

ขณะที่ "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" กำลังก่อหวอด กดดันรัฐบาล คสช. เรื่องเลื่อนเลือกตั้ง ขู่จะเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 19 ม.ค. ถ้ายังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง เช้าวานนี้ก็มีเรื่อง"ฮือฮา" เพิ่มดีกรีความร้อนแรงในทางการเมืองเพิ่มมาอีก นั่นคือมีความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ได้โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊ก “Thaksin Shinawatra”และ อินสตราแกรม @Thaksinlive พร้อมแฮชแท็ก #ThaksinGoodMonday มาถึงพี่น้องชาวไทยโดยตรง ว่าต่อไปนี้เราจะมาพบกันทุกเช้าวันจันทร์ ขอให้รอติดตาม
หลักใหญ่ใจความของการเปิดตัวเมื่อเช้าวานนี้ ก็เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ ช่วง 12 ปี ที่ต้องออกไป เร่ร่อน ท่องโลก ได้พบกับผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พบผู้นำทางธุรกิจ นักวิชาการ ได้เห็นความเจริญ ความล้าหลังของประเทศต่างๆ ...ความนัยเหมือนอยากจะบอกว่า 12 ปีที่เขาต้องออกนอกประเทศไปนั้น ทำให้คนไทย ประเทศไทย เสียโอกาสในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ พัฒนาประเทศไปอย่างน่าเสียดาย ... มีการพูดถึง เศรษฐกิจโลกในปี 2019 และ 2020 ที่จะกระทบกับรายย่อย โลกที่เราต้องเป็นนายของหุ่นยนต์ ไม่ใช่ให้หุ่นยนต์มาไล่ให้เราตกงาน , การพัฒนาด้านสุขภาพ ที่ใช้ข้อมูลใน DNA มาเป็นข้อมูลประกอบมากขึ้น , มีการพัฒนายาที่เฉพาะเจาะจงกับ DNA ของเรามากขึ้น , มีการศึกษา เทโลเมียร์ (Telomere) ที่มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับสุขภาพของเรามากขึ้น เป็นต้น
แต่ที่เน้นเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ที่เหมือนจะเป็น "จุดบอด จุดตาย" ของรัฐบาล"บิ๊กตู่" ในสายตาประชาชน โดย"ทักษิณ" บอกว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ระบบการเงินโลก จะมีปัญหา เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหา ถึงขั้นเกิดภาวะวิกฤต ซึ่งจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง...คิดแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะวันนี้เรายังไม่ได้ปรับตัวอะไรเลย ทั้งที่เดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานล่าง เราอ่อนแอมาก ก็เลยเกิดความกังวล ว่ารัฐบาลจะรู้จักรับมือ ป้องกันกันไหม อย่างไร
นอกจากระบบการเงินแล้ว ระบบเทคโนโลยี วิธีการทำมาหากินด้วยโครงสร้างทางธุรกิจแบบใหม่ๆ บริษัทระดับโลก ก็หากินข้ามชาติมาถึงประเทศไทย ทำให้อดเป็นห่วง "คนตัวเล็กๆ" ในชนบทไม่ได้ เพราะจะเริ่มทำมาหากินลำบากขึ้น ธุรกิจขนาดกลางก็จะเหนื่อยขึ้น ถ้าไม่แข็งแกร่งจริง จะรอดยาก ดังนั้น เราต้องมี"ผู้นำที่รู้เท่าทันเทคโนโลยี" และนำมาประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จึงจะพาตัวรอดได้
สิ่งที่ "ทักษิณ" พูดนั้นดูเหมือนจะเป็นการบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก ในด้านการเงิน ธุรกิจ เทคโนโลยี และสุขภาพ แต่ความระหว่างบรรทัดนั้น เหมือนเป็นการเปิดหน้าชกกับ "รัฐบาลบิ๊กตู่" หนักขึ้น แบบคนไม่มีอะไรจะเสีย... ก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับคดี "ฟอกเงิน" ของ "ลูกโอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร หรือเปล่า ที่ตอนนี้คดีขึ้นสู่ศาล ใกล้ถึงไคลแมกซ์เข้าไปทุกที แถมเจรจากับใครก็ไม่ได้เสียด้วยซี

**มวยคู่ใหม่ "หมอเสริฐ" ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จากค่ายเครือ รพ.กรุงเทพ เปิดหน้าชก "สนธิรัตน์ สนธิจิรุวงศ์" รัฐมนตรีพาณิชย์ ในศึกดึงยาและเวชภัณฑ์เข้าเป็นสินค้าต้องควบคุมราคา ไม่มีอะไรจะทำ จึงมาหาเรื่องโรงพยาบาลเอกชน
พลันทีกระทรวงพาณิชย์ประกาศไฟเขียวให้ยาและเวชภัณฑ์ เข้าบัญชีสินค้าควบคุม "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" รมว.พาณิชย์ ถึงกับเปรยว่า งานนี้ "ผมโดนกลุ่มทุนกดดันหนักเลย" ประชาชนผู้ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนที่ว่ากันว่า "แพงเวอร์" เฮไปแล้ว อาจจะรอต่อไป เพราะนอกจากกลุ่ม รพ.เอกชน ได้ออกโรงเคลือนไหว ผ่านสมาคม รพ.เอกชนต่อเรื่องนี้แล้วเมื่อวาน
คนสำคัญของวงการแพทย์ รพ.เอกชน "หมอเสิรฐ" นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของอาณาจักรโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ที่ครองแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยหลายสมัย ก็เปิดหน้าชก ชักธงรบขวางเต็มที่
"ผมว่าเขาไม่ค่อยมีอะไรทำมากกว่า ถึงได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมา" หมอเสริฐว่า ซึ่งถ้าจะถกเหตุและผล ก็ต้องบอกว่าต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลด้วยกันทั้งคู่
นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน บอกว่า ยาและเวชภัณฑ์ที่ว่าแพง เพราะรพ.เอกชน ต้องลงทุนเองทั้งหมด และถูกควบคุมโดยกฎหมาย คือ พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ที่กำหนดเรื่องมาตรฐานต่างๆ เช่น โรงพยาบาล แต่ละขนาดต้องมีจำนวนแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ห้องผ่าตัด จำนวนเท่าใด มาตรฐานในการจัดเก็บยาเป็นอย่างไร รวมถึงต้องยึดหลักความปลอดภัยของผู้ป่วย ทำให้ยาไม่ตีกัน จ่ายยาตามใบสั่งแพทย์ การตรวจสอบยาต่างๆ เป็นต้น ทำให้ใบเสร็จออกมาต่างจาก รพ.รัฐ ที่ไม่มีค่าพวกนี้รวมอยู่ เพราะอยู่ในเงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน
นอกจากนี้ โรงพยาบาลที่มีการให้บริการมาก มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ หรือการอบรมบุคลากร ก็ยิ่งมีการลงทุนสูง ต้นทุนก็ยิ่งสูง ค่าใช้จ่ายของรพ.เอกชน แต่ละแห่งจึงต่างกัน เพราะต้นทุนการบริการไม่เท่ากัน ... ฟังดูคล้ายกับว่า รพ.เอกชน ลงทุนมากก็ต้องหาวิธีเรียกทุนคืนเป็นธรรมดาของธุรกิจ แต่ ต้องไม่ลืมว่า รพ.เอกชนส่วนใหญ่ ระดมทุนในตลาดหุ้น รายได้ปีละกว่าแสนล้าน กำไรแต่ละปี ไม่น้อยกว่า 25,000 ล้าน ... ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กำไรมาจากค่ายา และเวชภัณฑ์นี่เอง
ส่วนที่ต้องฝาก รมว.พาณิชย์ ที่ต้องดูแลภาคประชาชน หลังจากมีข้อเสนอแนะเรื่องนี้มานาน คนในสังคมต่างรับรู้ได้ถึงการใช้ยา และบริการของรพ.เอกชน ราคาแพงหูฉี่ ยา และ บริการของ รพ.เอกชนบางแห่ง ก็ไม่มีกรอบและมาตรฐานในการคิด แต่เมื่อมีเสียงค้านมา ท่านรัฐมนตรี ก็เปิดใจกว้างรับฟังเพื่อหาข้อสรุปเสนอ ครม.ต่อไป
ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ในส่วนรพ.เอกชน ที่มีเครื่องมือพร้อม และสามารถตรวจผลได้ทันเวลา มันก็ย่อมจะมีค่าใช้จ่าย ส่วน รพ.เอกชนอีกประเภทที่แพงไว้ก่อน และไม่ได้ดีจริง นี่ก็ถูกของ รมว.สนธิรัตน์ เรื่องแบบนี้ต้องหาจุดที่ลงตัว ที่เป็นผลดีที่สุดระหว่างประชาชน และธุรกิจ

** แจกเงินมันธรรมดา "บิ๊กอ๊อด" บินมอบพระเครื่องให้แข้ง "ช้างศึก" ก่อนชี้ชะตาเอเชียนคัพ กับทีมเจ้าภาพ ยูเออี

หลังนักเตะทีมชาติไทย พ่ายให้กับนักเตะอินเดีย ในการเจอกันนัดแรก ของศึกเอเชียนคัพ 2019 ไปถึง 4-1 ทำเอาแฟนช้างศึก หัวร้อน กระหน่ำโซเชียล ก่นโค้ช "ราเยวัช" ลามไปถึง นายกสมาคมฟุตบอล "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง กันแทบไฟลุก สุดท้าย"บิ๊กอ๊อด" ต้องปลดโค้ชเป็นการด่วนในวันรุ่งขึ้น แล้วให้ "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติ และ "โชคทวี พรหมรัตน์" มารับหน้าที่แทนไปพลางก่อน ครั้นถึง นัดที่ 2 ที่เจอกับทีมบาห์เรน แล้วทีมช้างศึกสามารถเฉือนชนะไปได้ 1- 0 แฟนๆ ค่อยหายโกรธเกรี้ยวลงมาหน่อย ต้องรอลุ้นนัดที่ 3 (คืนวานนี้) กับทีม ยูเออี เจ้าภาพ ถ้าชนะเจ้าภาพได้ก็ลอยลำเข้ารอบเป็นครั้งแรก แต่ถ้าเสมอ ก็ต้องรอผลให้ บาห์เรน เพื่อนร่วมกลุ่มชนะ อินเดีย ทีมไทย ก็จะตามเข้ารอบไปด้วยกฏเฮดทูเฮด ที่ดีกว่า
งานนี้ "บิ๊กอ๊อด" นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้เดินทางไปให้กำลังใจ ก่อนทำศึกนัดสำคัญ ...ในฐานะที่เป็น "เซียนพระ" มาก่อน ก็เลยขนเอาพระเครื่องไปแจกนักเตะ และทีมงาน เพื่อปลุกขวัญกำลังใจก่อนแข่ง ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ทีมช้างศึกได้เข้ารอบ นายกฯ สมาคมก็คงรอดไปด้วย หลังเจอกระแสกระหน่ำอย่างหนัก ให้ลาออก แต่ถ้าผลเป็นตรงกันข้าม ก็น่าเป็นห่วง

-----------
รูป - ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละออง
- ทักษิณ ชินวัตร -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ - สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
- พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง แจกพระเครื่องให้นักเตะทีมชาติไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น