xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ยอมไม่ได้! ย้ำ“สาวเขมรยิ่งลักษณ์”คือ ความอัปยศอดสูของไทยประธานเอเซียน เผย“ชินวัตร”ได้ดีลที่ซัวเถา สายสัมพันธ์ “ลีกาชิง”มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง สุดท้ายการเมืองกรณีนี้ จีนยังไงก็“กินรวบ”

โยนกลองกันวุ่น กรณีสื่อจีนแฉ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และนักโทษหลบหนีคดี ถือพาสปอร์ตกัมพูชา และซื้อกิจการบริษัทในซัวเถา ประเทศจีนว่าคนเป็นถึงอดีตนายกฯไทย แต่กลายเป็น"สาวเขมร" ไปแล้ว แอบไปทำกันตอนไหน เขมรให้ไว้เมื่อไหร่ เป็นข่าวมาวันสองวัน ฝ่ายความมั่นคง และรัฐบาลลุงตู่ ยังเงียบกริบ... ถ้าจะบอกกันว่า ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ต้องย้ำกันหนักๆ เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้ เพราะ ในสายตาชาวโลกเขาถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเสียหายอย่างใหญ่หลวงของไทย นี่เป็นปมที่ทำให้เกิดความอัปยศอดสูของไทยในฐานะประธานเอเซียน... เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นหน้าตาประเทศ ความน่าเชื่อถือ ที่ผ่านมา สองพี่น้อง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นักโทษหลบหนีคดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา ก็ไม่แปลก ทักษิณกับฮุนเซน เอง หรือกระทั่ง ลูกสาวเจ๊แดง- เยาวภา “ชญาภา วงศ์สวัสดิ์”คนในตระกูลชินวัตร ไปเป็นดองกันกับ นักการเมืองทื่ใกล้ชิดฮุนเซน แต่ถึงขึ้นโป๊ะแตก เป็นคนไทยถือพาสปอร์ตเขมร มันเกินกว่าจะรับไหว ... คนที่จะต้องไปถามกัมพูชา ไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาลไทยต่างหาก ถามแล้วต้องตามให้ถึงที่สุดด้วย จะได้มีคำอธิบายต่อประชาชนคนไทยและชาติสมาชิกอาเซียน และประชาคมโลก
ส่วนที่ซัวเถา ถามกันว่า ยิ่งลักษณ์ ได้ดีลนี้เพราะใคร สืบกันต่อจาก เพจ “บูรพาไม่แพ้”เขียนไว้ให้เข้าใจเรื่องราวกันมากขึ้นว่า รัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง พยายามจะส่งเสริมซัวเถา ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่มีนวัตกรรมใหม่ มีท่าเรือที่ทันสมัยตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ถึงขนาดที่ได้ขยายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษครอบคลุมทั้งเมืองซัวเถา เมื่อปี 2554 แต่ก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์มากนัก ... ผู้บริหารของท้องถิ่นพยายามมานานแล้วที่จะดึงดูดการลงทุน ทำให้ซัวเถา พ้นสภาพจากการเป็นลูกเมียน้อย นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในซัวเถาก็คือ “ลีกาชิง”มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เชื้อสายแต้จิ๋ว ที่เป็นเจ้าของบริษัทฮัชชิสัน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักรายหนึ่งของท่าเรือซัวเถา ที่“ยิ่งลักษณ์”เพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นนั่นเอง
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ข่าวของทักษิณและยิ่งลักษณ์ เริ่มต้นจากสื่อเอกชนที่มีฐานในฮ่องกง ไม่ใช่สื่อของทางการจีนอย่าง ซินหัว หรือ CCTV จากนั้นก็แพร่ขยายมายังโลกออนไลน์ และสื่อไทย โดยที่รัฐบาลปักกิ่งอาจยังไม่รับรู้ เหมือนภาษิตจีนที่ว่า “ฟ้าสูง ฮ่องเต้ไกล”แต่เมื่อข่าวแพร่สะพัดมากขึ้น ทางการจีนจึงอาจจะเสกข่าวให้หายวับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือในแดนคอมมิวนิสต์ ที่ควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด... หากละวางข้อขัดแย้งทางการเมืองลง จะพบว่า"ตระกูลชินวัตร" ใช้จีนให้เป็นประโยชน์ทั้งทางการเมือง และทำมาหากินได้อย่างแยบยล ขณะที่ฝ่ายแดนมังกร ก็รู้ทันทักษิณโดยเปิดช่องให้เคลื่อนไหวได้ตามสมควร แต่ไม่ออกนอกหน้า... สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ หลังเลือกตั้งไม่ว่าอำนาจจะตกอยู่ในมือฝ่ายไหน จีนก็เหมือนจะเป็น "เจ้ามือ" ที่กินรวบในวงพนันแห่งอำนาจแล้ว

**วันเลือกตั้งยังไม่มีบทสรุป กลับมีสัญญาณ "ลุงตู่" ถอย แต่ไปตั้งหลัก ไปรอชอต 2 นายกฯคนนอก หรือถอยเลยยังไม่ชัด

ระหว่างที่ยังชักคะเย่อ ระหว่าง กกต. กับรัฐบาล ว่าจะเลือกตั้งวันไหน รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะให้เอา 24 มี.ค. แต่ฝ่ายกกต. อยากได้ 10 มี.ค. เพราะมีเวลาหายใจ ในปม 150 วัน ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ เพราะพลาดพลั้งไปอาจจะเดินเข้าซังเตได้ แต่"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะยอมให้พรรคการเมือง เสนอชื่อเป็นนายกฯ หรือไม่ ดังนั้นเวลาเดินสาย"ซ่อมหลังคา" หรือ "เกี่ยวข้าว" ก็ยังพูดเต็มปากว่า"ไม่ได้มาหาเสียง" ล่าสุดก็ปล่อยเพลง "ในความทรงจำ" ตำหนิทุกฝ่ายกลายๆ อย่าซ้ำเติมประเทศไทยแบบเก่าอีก พร้อมกับข่าวกระเซ็นกระสายออกมาว่า ลุงตู่ กำลังตัดสินใจ "เดินหน้าหรือถอยหลัง" ขนาดมีเสียงหนาหูว่า อาจจะไม่ยอมไปอยู่ในรายชื่อของพรรคการเมืองพรรคไหน เพราะถ้าอยู่ในรายชื่อ ก็จะกลายเป็น "เป้าถล่ม" ของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เวลาหาเสียง กว่าจะ "รู้แพ้ชนะ" ก็ "เละตุ้มเป๊ะ" เห็นกันอยู่แล้วว่า อารมณ์ของลุงตู่ เวลามีใครมาตำหนินั้นเป็นอย่างไร มันยอมได้ซะที่ไหน ยิ่งตอนนั้นยังนั่ง "รักษาการนายกรัฐมนตรี" อยู่ด้วย ยิ่งจะไม่งาม
ผลสรุปเป็นอย่างไร "ยังไม่มีใครกล้าคอนเฟิร์ม" ตอนนี้ยังเดากันว่า จะถอยไปรอ "ชอตสอง" ในฐานะ "นายกรัฐมนตรีคนนอก" ถ้า "ชอตแรก"ไม่สามารถหานายกรัฐมนตรี จากรายชื่อพรรคการเมืองได้ หรือสุดท้าย "ไปแล้วไปเลย" เพราะนั่งนายกรัฐมนตรีมา 5 ปี ก็เต็มอิ่ม ชีวิตจบสวยไม่มีตำหนิ จะเสี่ยงไปกับอนาคตข้างหน้า ที่หลายคนเริ่มส่งเสียงเตือนทำไม บทเรียนนักรัฐประหารรุ่นพี่ มีอยู่แล้ว ผลจะเป็นอย่างไร รอการตัดสินใจของ "ลุงตู่" คนเดียว

** กฎหมายคลายล็อกกัญชา "สมชาย แสวงการ-สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย" กำลังเผชิญศึกหลายด้าน จนเป็นเรื่องยากที่คนภายนอกจะเข้าใจได้

กฎหมายคลายล็อกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ที่ผ่านไปนั้น กรรมาธิการ และสนช. ต้องทำตามข้อเรียกร้องของกระทรวงสาธารณสุข โดยการกำหนดให้ ช่วงเวลา 5 ปี นับแต่กฎหมายบังคับใช้ รัฐจะต้องเป็นผู้ผูกขาดการเพาะปลูก การผลิต และการจำหน่ายเท่านั้น แต่กรรมาธิการฯชุด "สมชาย แสวงการ" เปิดรับฟังเสียงประชาชน ต่อรองจนใส่เข้าไปในกฎหมาย "เปิดช่องให้เอกชนร่วมกับรัฐ" ได้ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หมอพื้นบ้าน มหาวิทยาลัย และ วิสาหกิจของเกษตร โดยไม่กำหนดว่า รัฐต้องถือหุ้นในสัดส่วนเท่าไหร่
“เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน”และ “สภาการแพทย์แผนไทย”เรียกร้องว่า กฎหมายแบบนี้ไม่สอดคล้องกับวิถีการแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หมอพื้นบ้าน ที่ต้องปลูก และปรุงยาเอง การเขียนกฎหมายแบบนี้ จะต้องเสร็จทุนใหญ่ในที่สุด ไม่มีใครคาดคิดว่า การประชุมกรรมาธิการฯ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.61 จะ "กล้าฝ่ากระแสที่รัฐต้องการผูกขาดแบบสมบูรณ์" โดยเปิดช่องให้แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หมอพื้นบ้าน สามารถเพาะปลูกตามภูมิปัญญาของชาติได้ แถมด้วยการทำตามข้อเสนอของ "ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ" คณบดี คณะนิติศาสตร์ ม.รังสิต ใส่มาตรา "นิรโทษกรรมให้กับผู้ป่วยมะเร็ง และหมอที่แอบใช้กัญชาใต้ดินอยู่ ให้เข้าสู่ระบบ" เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องเดือดร้อนต่อไปในวันข้างหน้าได้
เบื้องหลังที่ทำไมกฎหมายฉบับของ สมชาย แสวงการ และ 44 สนช. เร่งรัดหามรุ่งหามค่ำ จนแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว ก็เพราะมี“ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายาเสพติดตามมาติดๆ”หวังผูกขาดกับภาครัฐอย่างสมบูรณ์ และไม่ต้องการเปิดช่องอย่างที่มีการเจรจากับภาคประชาชนแบบนี้ ชนิดที่เรียกว่าหวังผล คว่ำผลของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับนี้ สนช.จึงทำภารกิจ "ชิงจังหวะ" ลงมติ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ คลายล็อกกัญชา ปาดหน้าประมวลกฎหมายยาเสพติด เป็นผลสำเร็จ
แต่ในศึกดักหน้าอีกด้านหนึ่ง มีคนเป็นห่วงว่า ถ้า พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับ 44 สนช. ออกมาเร็ว ก็อาจจะกลายเป็นเตะหมูเข้าปากหมา เพราะต่างชาติที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรกัญชาล่วงหน้า นั่งกระดิกเท้า หวังให้สิทธิบัตรกัญชา กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายหลังจากกฎหมายคลายล็อกกัญชามีผลบังคับใช้ จึงเกิดการ“ยื้อกฎหมาย”พิจารณาความถูกต้อง ถ่วงเวลายังไม่ทูลเกล้าฯ ถวายกฎหมาย เพื่อรอให้ภาคประชาชนเดินหน้า กดดันให้กระทรวงพาณิชย์ ยกเลิก สิทธิบัตรทั้งหมดเสียก่อน แต่เกมยื้อกฎหมายนั้น ยังอยู่ในความยากยิ่งขึ้น เมื่อ “ประมวลกฎหมายยาเสพติด”ที่รัฐหวังจะผูกขาดอย่างสมบูรณ์ ตามหลังมาติดๆ ตัดทั้งการร่วมมือจากทุกกลุ่ม คงเหลือเอาไว้ “เป็นพิธี”เพียงแค่ ผู้ประกอบวิชาชีพ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์? และหมอพื้นบ้าน ที่รัฐซึ่งผูกขาดจะต้องเป็นผู้ยื่นคำขออนุญาตให้ แถมยังต้องให้รัฐถือหุ้นเกินครึ่งหนึ่ง แล้วหมอพื้นบ้านที่ไหน จะไปได้รับอนุญาตได้ คงมีแต่บริษัทยาข้ามชาติเท่านั้น ที่เตรียมตัวทำมาหากินกับความเจ็บป่วย ในประเทศไทย
งานนี้ ทั้งประมวลกฎหมายยาเสพติด กฎกระทรวง สิทธิบัตรกัญชา และการใช้ดุลพินิจของรัฐ กำลังถาโถมเข้าทำลาย ยกเลิกผลของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ของนายสมชาย แสวงการ และพวก อย่างชนิดที่คนภายนอกไม่คาดคิดว่าจะมี "ขบวนการขัดขวางการใช้กัญชาในการแพทย์แผนไทย" ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เป็นพวกเดียวกันแท้ๆ

-------------
รูป
- ทักษิณ ชินวัตร- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - ลีกาชิง- สมเด็จฮุนเซน
- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
-สมชาย แสวงการ – วิชา มหาคุณ
กำลังโหลดความคิดเห็น