xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เห็นต่างอย่างเป็นมิตร ถอดนัยโอวาท “ป๋าเปรม” How to “ลุงตู่” สู่นายกฯรอบ2

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมานาน ทุกปี ทุกวาระสำคัญ

กับการเปิดบ้านสี่เสาร์ของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้คณะบุคคลเข้าอวยพร โดยที่ “เจ้าของบ้าน” ก็จะให้โอวาทและอวยพรให้กับคณะกลับไป เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามธรรมเนียมที่ปฎิบัติสืบต่อกันมา ในการขอพรจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ทุกคนให้ความเคารพและนับถือ

ในวาระใกล้สิ้นปี 2561 ขึ้นศักราชใหม่ 2562 ก็เช่นกัน ได้นัดหมายให้ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรัฐมนตรี และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าอวยพร เพียงคณะเดียว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ก็ด้วย “ป๋าเปรม” ในวัยย่างเข้า 99 ปี ที่ไม่สะดวกรับแขกเหรื่อ มากหน้าหลายคณะเหมือนก่อน

บรรยากาศการอวยพรก็ “ชื่นมื่น” ไปตามระเบียบ มีการทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามเรื่อง ก่อนเข้าสู่พิธีการสั้นๆที่ “ผู้น้อย” อย่าง “นายกฯตู่” เป็นฝ่ายกล่าวถึงการปฏิบัติงานในฐานะรัฐบาลบริหารงานราชการแผ่นดิน ที่น้อมนำแนวทางศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เพื่อทำให้บ้านเมืองมีความสุขเรียบร้อยและพัฒนาทุกๆ ด้านได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนแนวทางของ พล.อ.เปรม ในเรื่องของความซื่อสัตย์อดทนและจงรักภักดี ก่อนตบท้ายอวยพร ขอให้ “ป๋าเปรม” มีสุขภาพแข็งแรง และแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป

จากนั้นเป็นคิวของ “ป๋าเปรม” ที่กล่าวขอบคุณ และให้พรกลับบ้าง ความว่า

“ขอขอบคุณนายกฯและพวกเราที่กรุณามาให้พรกันในวันปีใหม่ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่บ้านเมืองของเราไปได้ราบรื่น ในการบริหารของนายกฯและรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากเราเป็นมิตรกัน นายกฯ ก็เป็นมิตรกับผม ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเป็นมิตร ทั้งหมดเป็นมิตรกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ผมคิดว่าถ้านักการเมือง ที่เรียกว่า ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม ต้องพูดว่า เห็นต่างกันด้วยความเป็นมิตร จะดีมาก เพราะทุกคนเป็นมิตรกันและเห็นต่างกันแค่นั้น

“ขอให้นายกฯ เห็นว่าฝ่ายค้านเห็นต่าง ก็เห็นต่างอย่างนี้มิตร แต่อย่าเห็นต่างเป็นศัตรูกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ ขอให้คิดว่าความเห็นต่างต้องมี แต่มีอย่างมิตร ขอให้นายกฯช่วยทำตรงนี้ อย่าเห็นต่างกับฝ่ายค้าน ซึ่งก็โอเค ทั้งนี้ต้องเห็นต่างอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นต่างอย่างมิตร ผมอยากให้นายกฯทำตัวอย่างว่า ผมเห็นต่างกับคุณ แต่ผมก็เป็นเพื่อนกับคุณ ก็จะทำเหตุการณ์ต่างๆไปได้ราบรื่น ขอฝากนายกฯไว้อาจจะต้องจำไปใช้ตามที่ผมพูดไว้ก็ได้ เพราะผมเคยใช้มาแล้ว

“ขอชมเชยนายกฯที่บริหารประเทศมา ด้วยความโลดโผนความมุ่งมั่น ที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองของเรามีความสงบสุข คนไทยจะได้หายยากจนไปบ้าง เป็นการกระทำที่ได้บุญได้กุศลและเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำประเทศที่จะทำเช่นนั้น ทุกคนอยากให้คนไทยมีความสุข นายกฯก็ต้องการให้คนไทยมีความสุข คนไทยก็อยากมีความสุข ขอให้ทำให้คนไทยมีความสุข อย่างน้อยก็มีเงินพอใช้สอย ซึ่งนายกฯกำลังทำอยู่ ซึ่งคิดว่าจะได้ผลพอสมควร ขอขอบคุณนายกฯอีกครั้งและขอฝากไว้ว่าเห็นต่างกันอย่างมิตรเป็นสิ่งที่น่าจะนำไปใช้ ขอบคุณมากและขอให้นายกฯและพวกเราทุกคนมีความสุขสวัสดีมีอายุยืนยาวตลอดไปบริหารประเทศด้วยความเป็นมิตรและด้วยความรักคนไทยอย่างที่นายกฯกำลังทำ ขอเป็นผลสำเร็จให้ปรากฏในสายตาของคนไทยและคนต่างประเทศตลอดไป”

หลังจากนั้นก็เป็นตามธรรมเนียมที่ “นายกฯประยุทธ์” จะแนะนำบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นน้อง และคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วให้ “ป๋าเปรม” ได้รู้จักอีกครั้ง เนื่องจากเพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการยังไม่ถึง 3 เดือนดี

ช่วงนี้ “ป๋าเปรม” ก็ย้ำอีกครั้งว่า “ผมเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ได้เห็นใครเป็นศัตรู ประเทศไทยกำลังเดินหน้า เราถึงจำเป็น ต้องมียุทธศาสตร์ชาติ หากรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการตามยุทธศาตร์ชาติ รัฐบาลและฝ่ายค้านก็เดินไปตามแนวทาง ส่วนความเห็นต่างอีกเรื่องหนึ่ง”

ก่อนจะกลับเข้าบ้านพัก “ป๋าเปรม” ก็ยังหันมาพูดย้ำกับผู้สื่อข่าวน้อยใหญ่ที่ติดตามนำเสนอข่าวว่า “ผมเป็นมิตร” อีกครั้ง

จึงสรุปได้ว่า “พรจากป๋า” ปีนี้ก็คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่ว่า “เห็นต่างอย่างเป็นมิตร” นั่นเอง

มองในมุมของผู้รับพรอย่าง “นายกฯตู่” ก็ต้องบอกว่าใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะเมื่อย้อนกลับไปปลายปีกลายในโอกาสเข้ารับ “พรจากป๋า” งวดที่แล้ว ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดกับประโยคที่ว่า

“ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง…”

ท่อนที่ว่า “กองหนุนกำลังจะหมด” จึงถูกนำไปตีความขยายกันต่อ ด้วยเวลานั้นก็เป็นที่ชัดเจนไม่ต่างจากเวลานี้ที่ “รัฐบาล คสช.” กำลังวางโรดแมป “ต่อท่ออำนาจ” พลันที่มีเสียงทักเจือไปด้วยความห่วงใยจาก “ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” ออกมาในลักษณะที่ว่า ก็ทำเอา “ลุงตู่” และชาวคณะ คสช. ถึงกับสะอึก และเสียทรงไปไม่น้อยทีเดียว

ด้วย “กองหนุนกำลังจะหมด” นั้น ถูกตีความว่า “ป๋าเปรม” ก็เป็นหนึ่งใน “กองหนุน” ที่หมด (ใจ) ไปด้วย เนื่องเพราะผลงานของรัฐบาล คสช.ในห้วงนั้น ดูจะมีเครื่องหมายคำถามมากมาย โดยเฉพาะในแง่การปฏิรูปประเทศที่ไม่คืบหน้าให้เห็นแม้แต่น้อย

หากแต่ก็ยังมีแฝงข้อแนะนำไปด้วยว่า ถ้าเราแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง

มาปีนี้ “พรจากป๋า” ที่ว่า “เห็นต่างอย่างเป็นมิตร” นั้นสะท้อนว่า “ป๋าเปรม” มองข้ามช้อตไปถึงห้วงเวลาหลังการเลือกตั้งที่จะมี “รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่มาคู่กับ “ฝ่ายค้าน” นั่นเอง สิ่งที่ว่าออกมาคือคำชี้แนะจาก “ผู้อาวุโส” ที่ “อาบน้ำร้อนมาก่อน”

“ผมคิดว่าถ้านักการเมือง ที่เรียกว่า ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม ต้องพูดว่า เห็นต่างกันด้วยความเป็นมิตร จะดีมาก ขอให้นายกฯเห็นว่าฝ่ายค้านเห็นต่าง ก็เห็นต่างอย่างนี้มิตร แต่อย่าเห็นต่างเป็นศัตรูกัน”

ถอดรหัสได้ว่าให้ “ลุงตู่” ที่เป็นรัฐบาลในขณะนี้ รับฟังความเห็นของ “ผู้เห็นต่าง” อย่างเป็นมิตร ตลอดจนไป

ถึงการเป็น “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง” ก็ต้องยอมรับฟังความเห็นของ “ฝ่ายค้าน” อย่างเป็นมิตรด้วย ซึ่งหากลองย้อนนึกดูก็จะเห็นว่า ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือการไม่ยอมรับ “ความเห็นต่าง” ใครก็ตามที่เห็นต่างจะถูกกวาดต้อนให้ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามในทันที ไม่เว้นแม้แต่ “มิตร” ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมรบกันมา

ทางหนึ่ง เป็นการเตือนให้ยอมรับความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในหมู่มิตร

ทางหนึ่ง เป็นการเตือนให้ยอมรับความเห็นต่างของฝ่ายตรงข้าม

ด้วยสถานะของ “ลุงตู่” ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจาก “ป๋าเปรม” เมื่อครั้งอดีต ที่กำลังจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เมื่อช่วงปี 2526 ต่างที่เวลานั้นถือเป็นฉันทามติจากฝ่ายการเมือง และประชาชนที่เห็นว่า “ป๋าเปรม” มีความเพียบพร้อมเหมาะสมทุกประการ ต่อเนื่องไปถึงการเป็นนายก ฯสมัยที่ 3 จนถึงปี 2531 ที่ปิดฉากด้วยคำประกาศที่ว่า “ผมพอแล้ว”

ถึงนาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ลุงตู่” คือตัวเลือกแรกในฐานะผู้ถูกเสนอให้เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งของหลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มีสัมพันธ์โยงใยกันอยู่ในรัฐบาล แต่ก็ยังต้องลุ้น “ฉันทมติ” จากประชาชนในการเลือกตั้งต้นปี 2562 ที่จะถึงนี้ด้วย

สิ่งที่ “ป๋าเปรม” พยายามแนะนำออกมานั้น จำเพาะเจาะจงไปที่ “นายกฯตู่” เป็นพิเศษ กับการปฏิบัติตัวต่อ “ผู้เห็นต่าง” ที่เข้าใจได้ว่า “ป๋าเปรม” ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จึงมีความเป็นห่วงต่อ “ประยุทธ์” เป็นพิเศษ

โดยเฉพาะแคแรกเตอร์ “โผงผาง - ปากไว” ที่มักตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยถ้อยคำหนัก ท่าทีรุนแรง แตกต่างจากสมัย “ป๋าเปรม” เป็นนายกฯที่ประหยัดถ้อยคำ ไม่เคยตอบโต้ทางการเมือง เห็นทุกคนเป็น “พวก-พ้อง” และทำให้ทุกคนก็เห็น “ป๋า” เป็น “พวก-พ้อง” เช่นเดียวกัน

นัยตรงนี้ซ่อนไว้ในคำชมของ “ป๋าเปรม” ที่มีต่อ “นายกฯตู่” ที่ว่า “ขอชมเชยนายกฯที่บริหารประเทศมา ด้วยความโลดโผนความมุ่งมั่น…”

คำว่า “ความโลดโผน” คือคำจำกัดความที่ “ป๋าเปรม” มีต่อคาแรกเตอร์ของ “นายกฯตู่” และอ่านได้ว่าเป็นข้อแนะนำของ “ผู้ผ่านร้อนหนาวมาก่อน” ที่เจืออยู่ในคำชม ชี้ทางให้ “ประยุทธ์” ปรับตัวก่อนเข้าสู่โหมด “รัฐบาลเลือกตั้ง” นั่นเอง

ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ “ป๋าเปรม” สื่อสารออกมาผ่านคำพูดสั้นๆนั้น ถือว่าตรงใจและพูดแทนคนไทย ในแง่ความรู้สึกที่มีต่อ “นายกฯ ประยุทธ์”

ไม่เท่านั้นยังถือว่า “จี้ใจดำ” ผู้รับพรอย่าง “บิ๊กตู่” อย่างน่าตกใจ ด้วยลึกๆ แล้วเจ้าตัวก็รู้ดีว่า คาแรกเตอร์ “โผงผาง-ปากไว” ของตัวเองมีปัญหาไม่น้อย สังเกตได้จากความพยายามหลายต่อหลายครั้งที่ปรับบุคลิกท่าทีของตัวเอง ตลอดจนคำประกาศหลายต่อหลายวาระในขอสงบเสงี่ยมเป็น “นิวตู่” ไม่หุนหันหลันแล่นอย่างที่คุ้นชินกัน

ตลอดระยะเวลา 4 ปี 7 เดือน นับครั้งไม่ถ้วนสำหรับคำประกาศในลักษณะขอเป็น “นิวตู่” ถี่ยิ่งกว่าการเลื่อนโรดแมปคืนความสุขเสียอีก ถึงไม่มีประกาศในทางสาธารณะ แต่ก็จับจังหวะได้ว่า หาก “ลุงตู่” รู้ว่าอารมณ์เริ่มเตลิดไปไกล ก็จะหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนซักระยะ เพื่อปิดโอกาสในการนำไปสู่การเชือดเฉือนปะทะคารม

เป็น “จุดอ่อน” ที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ดี และมีขบวนการ “ยั่วประสาท” ออกมาเป็นระยะๆ เช่นกัน หรือบ้างก็พูดไปว่า ถ้า “ประยุทธ์” ยังพกอารมณ์แบบนี้ไป ถ้าเป็นนายกฯรัฐบาลเลือกตั้ง แล้วต้องไปตอบคำถามในสภาผู้แทนราษฎร มีหวังตกเเก้าอี้กันคาสภาฯให้เห็นกันบ้าง

นั้นก็คือสิ่งที่ “กองหนุนลุงตู่” กังวลไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่เริ่มปรับโหมดเข้าสู่ฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้งที่ใกล้จะเป็นทางการแล้ว ไม่ต้องไปไกล ช่วงสัปดาห์ก่อนที่ “ลุงตู่” วางโปรแกรมไปลงพื้นที่ สมุทรปราการ-นนทบุรี ก็เพิ่งถูกนำ “คำพูด - คีย์เวิร์ด” บางตอนมาขยี้ ทำเอาเสียแต้มไปไม่น้อย

พอเห็นท่าไม่ดี ก็เป็น “นายกฯตู่” เองที่ออกปากกลางที่ประชุม ครม.ไปถึงพรรคการเมืองที่เตรียมชูให้เป็นนายกฯในบัญชีเลือกตั้งว่า “อย่าเอาชื่อผมไปอ้าง ผมยังไม่ได้รับปากใคร”

ไม่ใช่รังเกียจรังงอนอะไร แต่ประเมินแล้วยังไม่ควรนำตัวเองเข้าไปในสมรภูมิการเมือง ก็ถอยสักครึ่งก้าวออกมาหายใจหายคอก่อน หลังช่วงที่ผ่านมาไม่ทันไรก็มีวิวาทะสงครามน้ำลายสาดโคลนกันชุลมุน หรือขนาด “ประยุทธ์” ที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการก็อ่วมอรทัยไปพอสมควรแล้ว

แล้วยังโชคดีที่ช่วงนี้กระแสรัฐบาล คสช. ที่เคยตกต่ำคนยี้ทั้งประเทศจนโงหัวไม่ขึ้น ตีตื้นมาอยู่ในแดนบวก พ่วงไปถึง พรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องใช้คำว่า “กำลังมา” เป็นสองประสานที่อยู่ในช่วงขาขึ้น-ติดลมบนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่อาจจะมาไม่สุด ด้วยปัจจัยภายในเอง ทั้งการแสดงออกของ “ลุงตู่” ว่าที่แคนดิเดตนายกฯเบอร์หนึ่งของพรรค หรือปัญหาการจัดการภายในที่ยุ่งเหยิง สุ่มเสี่ยง เป็น “กิ้งกือเดินตกท่อ” ได้ทุกเมื่อ

แต่เมื่อเริ่มไม่เป็นไปตามที่ประเมินไว้ ก็จำเป็นต้อง “เด้งเชือก” ออกมาหลบ “ห่ากระสุน” ที่พุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศก่อนดีกว่า เพราะยังมีเวลาอีกพอสมควร ที่จะต้องยื่นรายชื่อต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเป็นทางการ ไม่เกินวันที่ 18 มกราคม 2562 ตามปฏิทินเลือกตั้ง ณ ปัจจุบัน

ต้องยอมรับว่า ภายหลังปลดล็อกการเมือง และ “นักเลือกตั้ง” เริ่มยืดเส้นสายวอร์มอัพรอออกจากจุดสตาร์ท ทิศทางลมทางการเมืองก็ค่อนข้างแปรปรวนคาดเดายากพอสมควร

ยังดีคาบเกี่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ผู้คนเริ่มไม่สนใจข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆเท่าไร ถือเป็นโอกาสปรับจูนยุทธศาสตร์ วางโพสิชั่นทางการเมืองกันใหม่ แล้วมาโซโล่กันต่อหลังพ้นเทศกาลวันหยุดยาว

ที่จะต้อนรับขวบปีใหม่ด้วย พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง ที่จะถือเป็นสัญญาณปล่อยตัวจากจุดสตาร์ทอย่างเป็นทางการ

ถือเป็นโชคดีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่น้อย ที่ภายใต้กติกาตอนนี้ ค่อนข้างได้เปรียบกว่าใครเพื่อน ในรายการชิงชัยเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง แล้วยังโชคดีที่ได้ “ติวเตอร์กิตติมศักดิ์” มาบอกเคล็ดลับการเป็น “นายกฯ มหาชน” ที่ให้ “ลดโทนโลดโผน” พร้อมปรับมุมมองที่มีต่อ “ฝ่ายค้าน-ผู้เห็นต่าง” กระตุกกันเบาๆ หลังจากปีก่อนกระตุกแรง กองหนุนใกล้หมด จนเสียทรงไปพอสมควร กว่าจะจูนติดเข้าที่ก็หลายเดือนอยู่

และก็ดูเหมือนว่า “บิ๊กตู่” จะมีความเข้าใจในวาทกรรมของ “ป๋าเปรม” ไม่น้อย ดังที่ได้กล่าวออกตัวต่อหน้าป๋าว่า “ผมเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ได้เห็นใครเป็นศัตรู” และเมื่อเดินทางออกจากประตูบ้าน “ป๋าเปรม” ก็ส่งยิ้มให้นักข่าวและกล่าวว่า “เป็นมิตรนะครับ เป็นมิตร”

บอกเลยการได้รับ “พรจากป๋า” ในช่วงนี้ถือว่าสุดประเสริฐสำหรับ “นายกฯตู่” แต่อยู่ที่ “คนรับพร” ว่าจะนำพาไปได้แค่ไหนเท่านั้นเอง

โอกาสเป็นนายกฯรอบ 2 รอบ 3 ตามรอย “ป๋าเปรม” ยังเปิดกว้าง.

กำลังโหลดความคิดเห็น