xs
xsm
sm
md
lg

Santa ตู่ หรือ Santa Macron

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


ช่างเหมือนกันในมาตรการแจก-แจก-แจกปลายปี จนทำเอาคนรับของแจกแทบจะสำลัก เพราะเหมือนตั้งตัวยังไม่ติด-ไม่คิดไม่ฝัน-ก็มี Helicopter money ปลิวว่อนตกลงมาจากฟ้า

ถ้าเป็นอาหารฟรีก็เรียกว่า แจกจนคนกินอาจติดคอเพราะกลืนไม่ทัน

คนแจกนั้น อายุต่างกันกว่า 20 ปี คนแรก 60 กว่า; คนหลังเพิ่ง 40...และที่มาของการแจกก็แตกต่างกัน แม้เวลาที่เงินตกลงมาจากฟากฟ้ายังกับฝนดาวตก จะเป็นเวลาเดียวกันคือ ช่วงก่อนปีใหม่

คนแรกเพิ่งมาคิดออกว่า ไหนๆ ก็ไม่ได้แตะการปฏิรูปตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วต้องมีเลือกตั้ง ก็คงหนีไม่พ้นว่าตัวเองจะต้องเข้ามากุมบังเหียน เพื่อไม่ให้อำนาจเก่ามาคิดบัญชี (ถึงขนาดเปิดรับคนในอำนาจเก่ามาร่วมสังฆกรรมกันเต็มทีม)... จึงรีบงัดเอาการแจกอย่างหลับหูหลับตาไปยังกลุ่มคนที่จะลงคะแนนเสียงให้ตนเอง ทั้งๆ ที่การแจกนี้จะไม่ช่วยสร้างคันเบ็ดหรือแหอวนให้ผู้รับไปจับปลาเอาเอง ก็แค่เอาเงินไปใช้อย่างเมามันช่วงปีใหม่...แถมยังสนับสนุนให้ใช้จ่ายมากๆ (ช่วยชาติ!) สร้างนิสัยฟุ่มเฟือยแทนการประหยัด, อดออม, ใช้จ่ายอย่างพอเพียงด้วยซ้ำ

สำหรับหนุ่มเอ็มมานูเอล มาครง ไปเจอสีที่ป้ายบนกำแพงข้างถนนหลายแห่งให้ “Hang the King” คือ จับจักรพรรดิมาครงมาแขวนคอ เพราะเขาเป็นคุณชายมาตั้งแต่เล็กๆ จบจาก ร.ร.ผู้ดิบผู้ดี เรียนจากมหาวิทยาลัยที่ผลิตข้าราชการไปปกครองประชาชนและเป็นนายธนาคารมาก่อน...เขาไม่เคยสัมผัสความทุกข์ยากของชาวปารีเซียน และชาวฝรั่งเศสในชนบท ที่หาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลัง และต้องมาเผชิญกับการประกาศขึ้นภาษีคนจน จากภาษีน้ำมันดีเซล (ที่โหดสุดๆ...ขึ้นมาถึง 23% ในปี 2018 ที่กำลังจะจากไปนี้ และรอจะขึ้นอีก 6.5% ในวันที่ 1 มกรานี้ จนทำให้น้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะแพงถึง 61 บาททีเดียว)

การประท้วงขั้นจลาจลมีคนตาย และที่บาดเจ็บเป็นเรือนพัน ที่ถูกจับก็เป็นเรือนพันเช่นเดียวกัน จนนายกฯ (ตัวแทนของปธน.มาครง) ต้องออกมายอมจำนนด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า รัฐบาลจะชะลอการขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลไปอีก 6 เดือน และขอให้เลิกชุมนุม โดยเฉพาะรัฐบาลรับไม่ได้กับความรุนแรงที่ผู้ประท้วงได้เข้าปล้นร้านค้า...และจบท้ายด้วย “รัฐบาลไม่ใช่หูหนวก-ตาบอด เราเข้าใจความเดือดร้อนของพวกท่าน เรากำลังฟังท่านอยู่ ดังนั้น เราจะชะลอไปอีก 6 เดือน เพื่อหันมาร่วมทบทวนฟังเหตุผลของพวกท่าน”

วันเสาร์ที่ 3 ที่เขาประท้วง ก็ยังไม่หยุด มีผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้น ตลอดจันทร์ถึงศุกร์ จะมีเบาบางลง แต่ก็ผลัดกันไปทำงาน-เลิกงานก็มาร่วมประท้วงตอนเย็น หรือบางคนก็ไปร่วมประท้วงช่วงเช้าก่อนไปทำงาน...แต่วันเสาร์เป็นวันนัดที่จะมาแสดงพลังอย่างหนาแน่น

เสาร์ที่ 4 ของการประท้วง (หลังนายกฯ ออกมาบอกยอมถอย ก็ยังมีการประท้วงจลาจลหนัก) หลายคนถามหาว่า ปธน.หายไปไหน?

ปธน.เรียกประชุมใหญ่ กับรมต.เศรษฐกิจและแรงงานถึง 9 คน รวมทั้งผู้นำรัฐบาลท้องถิ่น และมีสหภาพแรงงาน 5 แห่งที่ทรงพลัง (เป็นสหภาพฯ ของรัฐวิสาหกิจยักษ์ที่เคลื่อนเข้าร่วมกับพวกเสื้อกั๊กเหลืองตอนหลัง เพื่อเรียกร้องร่วมด้วย) รวมทั้งตัวแทนจากเสื้อกั๊กเหลือง (เดิมไม่มีตัวแทน ตอนหลังพอมีตัวแทนเป็นโฆษก)...พอประชุมเสร็จ-ปธน.หนุ่มก็แถลงการณ์พบประชาชน (เป็นครั้งแรก) เวลา prime time เลยคือ 2 ทุ่ม-ถ่ายทอดสดทั่วประเทศ

เขาเตรียมมาอย่างดี ตามประสานักการเมืองผู้ชาญฉลาดและไหลลื่น โดยพูดประมาณ 15 นาที (ยาวกว่านั้นจะไม่มีคนฟัง!) และเริ่มจาก-ท่าทีอ่อนน้อม (ไม่หยิ่งผยองแบบเดิมๆ) ว่า เขาตระหนักถึงความทุกข์ยากของประชาชน...(ไม่มีคำว่า ขอโทษ)...ผมทราบว่า คำพูดบางคำของผมอาจทำให้หลายๆ คนรู้สึกเจ็บช้ำ (เพราะเขาประกาศแข็งกร้าวว่าจะเดินหน้าตามแผนขึ้นภาษีน้ำมันให้ได้ เพื่อเอาเงินมาอุดหนุนพลังงานชนิดหมุนเวียนอื่นๆ ซึ่งทำให้คนจนที่ต้องพึ่งรถ โดยเฉพาะในชนบท...เจ็บแค้นมากว่า มารีดเอาจากคนจน แทนที่จะไปจัดการเก็บภาษีคนรวย-เพิ่งลดภาษีให้คนรวยไปหยกๆ) และเพราะฟังเสียงประชาชน ถึงจะผ่อนปรนความเดือดร้อน

ประเด็นแรกคือ ท่าทีอ่อนลงอย่างชัด คล้ายๆ ว่าเขายังฟังประชาชนอยู่ แต่ประเด็นที่สองนี้เป็นเหตุผลที่แทบทุกรัฐบาลจะงัดเอามาใช้ คือ แสดงวาทะว่า ความเดือดร้อนของประชาชนที่หนักแอ้กับปัญหาเศรษฐกิจในผู้คนผู้มีรายได้น้อยนั้น...เป็นปัญหาที่สะสมกันมานานแล้ว ไม่รู้ค้างกันมากี่รัฐบาล ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในรัฐบาลของผมเท่านั้น มันไม่ใช่ “เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานครับ แต่มันเกิดขึ้นนานเน จนพวกเรารู้สึกคุ้นชินกับมันเสียด้วยซ้ำ มันคือความป่วยไข้ที่มีมานานถึง 40 ปี และบางอย่างก็เพิ่งปรากฏอาการให้เห็นชัดขึ้น”...พูดย้ำกับว่า ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ (เพราะได้เคยมีการประท้วงใหญ่มาก เมื่อปี 1968 ถึงขั้นจลาจล...อันเป็นคลื่น Anti-establishment หรือต่อต้านผู้ทรงอำนาจ-ที่เกิดเป็นคลื่นในสหรัฐฯ ที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม และการตัดสินใจของรัฐบาลที่ทอดทิ้งประชาชน จนลามไปถึงยุโรป และในเอเชียด้วย)

พอถึงช่วงที่ 3 ของคำแถลงพบประชาชน...ก็พรั่งพรูไปด้วยการแจก-แจก-แจก เพื่อซื้อใจผู้ประท้วง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ประท้วงที่อาจจะไม่ชอบความรุนแรง และจะมองว่า...เออ..รัฐบาลก็ยอมถอยแล้ว...เราน่าจะกลับบ้านดีกว่า แล้วค่อยดูการเจรจากันอีก 6 เดือนข้างหน้า...ไอ้ภาษีที่จะขึ้นอีก 6.5% อาจมีการทบทวนและขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า 6.5% ก็ได้

นี่เป็นวิธีการสลายการชุมนุม ที่รัฐบาลแทบทุกแห่งจะนำมาใช้ เพื่อให้หยุดชุมนุมหรือให้ส่วนใหญ่พอใจกลับบ้าน และทำให้ผู้ชุมนุมเกิดรอยแตกแยก เพราะฝ่าย hardliner จะบอกว่า กำลังถูกรัฐบาลหลอก โดยแจกๆ แต่ยังจะนำภาษีน้ำมันกลับมาใช้อีกใน 6 เดือน ซึ่งการชุมนุมก็จะอ่อนเปลี้ยจนอาจจุดไม่ติด...พวก hardliner ต้องการชุมนุมใหญ่ในเสาร์ที่ 5 ต่อไป เพื่อได้ทีขี้แพะไล่ คือ ให้รัฐบาลยกเลิกการขึ้นภาษีน้ำมันไปเลย ไม่ต้องมาพิจารณาทบทวนกันอีก!

มีระฆังมาช่วยปธน.มาครงอีกด้วย คือ การกราดยิงก่อการร้ายของฝ่ายสนับสนุน Isis ที่เมือง Strasbourg จนทำให้รัฐบาลได้ประกาศเตือนภัยก่อการร้ายสูงสุด-ก็ทำให้ห้ามการชุมนุมประท้วงใดๆ ทั้งหมด

สำหรับมาตรการแจก-แจก-แจกนั้น ก็ดังที่เป็นข่าวออกมา คือ ทั้งเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำถึง 100 ยูโร (ประมาณ 4,000 บาท) ต่อเดือน; เลิกภาษีที่ได้ประกาศจะขึ้น-สำหรับผู้รับบำนาญ; การให้นายจ้างจ่ายโบนัสปลายปีแก่ลูกจ้าง ซึ่งรัฐบาลจะผ่อนปรนพิเศษให้นายจ้างในด้านการหักภาษี; การยกเลิกตรวจสอบรถยนต์ (เก่า) ปล่อยควันเสียตามมาตรฐานเข้มงวด ฯลฯ ซึ่งเป็นการสยบผู้ประท้วงไม่ให้ออกมาจลาจลบนข้างถนนนั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น