ผู้จัดการรายวัน 360 - "สุเทพ" งัดไม้แข็ง ไม่ยอมความ "ธาริต" คดีหมิ่นประมาทโครงการโรงพักร้าง ซัดพฤติกรรมสอพลอผู้มีอำนาจ แถมใช้อำนาจเล่นงานคนใกล้ชิด-ภาคประชาชน จนให้อภัยไม่ได้ เชื่อแค่ลูกไม้หนีคุก ออกแถลงการณ์ใช้อ้างอิงกับศาลว่าสำนึกแล้ว เผยศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ยกฟ้อง นัดฟังคำพิพากษาฎีกา 14 ธ.ค.นี้
จากกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มอบหมายให้ นายธนากร แหวกวารี ทนายความ แถลงรับสารภาพและขอมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายโจทก์ ที่ยื่นฟ้องนายธาริตข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายสุเทพขณะที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯสั่งการไม่ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 396 แห่ง จนเปิดปัญหาก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบนั้น
วานนี้ (11 ธ.ค.) ที่ จ.อ่างทอง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล่าวระหว่างลงพื้นที่เดินคารวะแผ่นดินว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะติดภารกิจเดินคารวะแผ่นดินทุกวัน ก็ได้เห็นตามที่ข่าวเสนอ โดยก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพได้ติดต่อมาจะขอให้นายธาริต นำธูปเทียนมาขอขมาตน ซึ่งตนได้แจ้งไปว่า ไม่ต้องการพบนายธาริต เพราะเห็นว่านายธาริตได้กระทำการผิดวิสัยของผู้ผดุงความยุติธรรม คือที่มีหน้าที่ดูแลกระบวนการยุติธรรม แต่กลับตั้งใจทำผิดเอง เพื่อสอพลอผู้มีอำนาจ จึงคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัย และเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรอภัย สังคมต้องไม่ให้มีคนแบบนี้ แต่บังเอิญผู้ใหญ่ที่ติดต่อมา ตนเคยพึ่งพาท่านตอนที่เป็นรองนายกฯ จึงแจ้งกลับไปว่าต้องปรึกษาทีมทนายความของตนก่อน ซึ่งทีมทนายความก็ประชุมกัน และสรุปได้ว่าคดีความที่มีอยู่กับนายธาริต ไม่ใช่กรณีนี้กรณีเดียว แต่นายธาริตได้เล่นงานภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับตนหรือใกล้ชิดกับตนทุกฝ่ายอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่ปี 2552-53 และปี 2556-57 ด้วย ที่นายธาริตเข้าไปวุ่นวายใช้อำนาจหน้าที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนดังกล่าว
"การที่คุณธาริต ขึ้นไปเบิกความแต่ละคดี ให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง ให้การเพื่อเอาใจอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดังนั้น บรรดาทนายความ ที่เป็นที่ปรึกษาให้ผมทำงานให้ประชาชน เขายืนยันว่ากรณีนี้ ผมไม่ควรยอมความให้นายธาริต เพราะไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของผม แต่เป็นเรื่องคุณธาริตกับประชาชนด้วย ซึ่งผมก็ฟังที่ปรึกษาทางกฎหมาย และทนายความผมอยู่ เพราะคดีความทั้งหมด ทีมทนายผมเป็นคนทำ และผมตัดสินใจว่า ผมคงไม่ยอมความในคดีดังกล่าว ส่วนที่ นายธาริต จะขอขมาเพื่อสร้างเป็น ข้ออ้างอิงต่อศาล เป็นสิทธิ์ของนายธาริต ที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวรอดไม่ให้ตัวเองติดคุก แต่ผมไม่สามารถคิดเฉพาะเรื่องตัวเองได้ เพราะวันนี้ทำงานให้ประชาชน ต้องคิดถึงความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเป็นสำคัญ" นายสุเทพ กล่าว
ด้าน นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรมระบุว่า ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธ.ค. เวลา 9.00 น. โดยเป็นการขอใช้ห้องพิจารณาคดีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อาคารศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ โดยศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาในคดีนี้เอง ตามระเบียบศาลฎีกาฯ ที่กำหนดให้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาได้ในคดีที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือเป็นที่สนใจของประชาชนหรือคดีอื่นใด ซึ่งประธานศาลฎีกาเห็นสมควรให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่นายสุเทพฟ้องนายธาริตฐานหมิ่นประมาทในกรณีนี้นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายธาริตจำเลยในคดีได้ยื่นคำร้อง ขอถอนคำให้การเดิมและเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 14 ธ.ค.ออกไปก่อน 60 วัน แต่ในวันนี้ (11 ธ.ค.) นายสุเทพโจทก์ได้ส่งทนายความยื่นคำร้องแย้งว่า ไม่ได้มีการประนีประนอมกับจำเลย จึงขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามที่นัดไว้ในวันที่ 14 ธ.ค.61 ตามเดิม.
จากกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มอบหมายให้ นายธนากร แหวกวารี ทนายความ แถลงรับสารภาพและขอมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายโจทก์ ที่ยื่นฟ้องนายธาริตข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า นายสุเทพขณะที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯสั่งการไม่ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ 396 แห่ง จนเปิดปัญหาก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบนั้น
วานนี้ (11 ธ.ค.) ที่ จ.อ่างทอง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล่าวระหว่างลงพื้นที่เดินคารวะแผ่นดินว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะติดภารกิจเดินคารวะแผ่นดินทุกวัน ก็ได้เห็นตามที่ข่าวเสนอ โดยก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพได้ติดต่อมาจะขอให้นายธาริต นำธูปเทียนมาขอขมาตน ซึ่งตนได้แจ้งไปว่า ไม่ต้องการพบนายธาริต เพราะเห็นว่านายธาริตได้กระทำการผิดวิสัยของผู้ผดุงความยุติธรรม คือที่มีหน้าที่ดูแลกระบวนการยุติธรรม แต่กลับตั้งใจทำผิดเอง เพื่อสอพลอผู้มีอำนาจ จึงคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัย และเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรอภัย สังคมต้องไม่ให้มีคนแบบนี้ แต่บังเอิญผู้ใหญ่ที่ติดต่อมา ตนเคยพึ่งพาท่านตอนที่เป็นรองนายกฯ จึงแจ้งกลับไปว่าต้องปรึกษาทีมทนายความของตนก่อน ซึ่งทีมทนายความก็ประชุมกัน และสรุปได้ว่าคดีความที่มีอยู่กับนายธาริต ไม่ใช่กรณีนี้กรณีเดียว แต่นายธาริตได้เล่นงานภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับตนหรือใกล้ชิดกับตนทุกฝ่ายอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่ปี 2552-53 และปี 2556-57 ด้วย ที่นายธาริตเข้าไปวุ่นวายใช้อำนาจหน้าที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนดังกล่าว
"การที่คุณธาริต ขึ้นไปเบิกความแต่ละคดี ให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง ให้การเพื่อเอาใจอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดังนั้น บรรดาทนายความ ที่เป็นที่ปรึกษาให้ผมทำงานให้ประชาชน เขายืนยันว่ากรณีนี้ ผมไม่ควรยอมความให้นายธาริต เพราะไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของผม แต่เป็นเรื่องคุณธาริตกับประชาชนด้วย ซึ่งผมก็ฟังที่ปรึกษาทางกฎหมาย และทนายความผมอยู่ เพราะคดีความทั้งหมด ทีมทนายผมเป็นคนทำ และผมตัดสินใจว่า ผมคงไม่ยอมความในคดีดังกล่าว ส่วนที่ นายธาริต จะขอขมาเพื่อสร้างเป็น ข้ออ้างอิงต่อศาล เป็นสิทธิ์ของนายธาริต ที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวรอดไม่ให้ตัวเองติดคุก แต่ผมไม่สามารถคิดเฉพาะเรื่องตัวเองได้ เพราะวันนี้ทำงานให้ประชาชน ต้องคิดถึงความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเป็นสำคัญ" นายสุเทพ กล่าว
ด้าน นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรมระบุว่า ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธ.ค. เวลา 9.00 น. โดยเป็นการขอใช้ห้องพิจารณาคดีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่อาคารศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ โดยศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาในคดีนี้เอง ตามระเบียบศาลฎีกาฯ ที่กำหนดให้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาได้ในคดีที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือเป็นที่สนใจของประชาชนหรือคดีอื่นใด ซึ่งประธานศาลฎีกาเห็นสมควรให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่นายสุเทพฟ้องนายธาริตฐานหมิ่นประมาทในกรณีนี้นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายธาริตจำเลยในคดีได้ยื่นคำร้อง ขอถอนคำให้การเดิมและเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามฟ้อง พร้อมขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 14 ธ.ค.ออกไปก่อน 60 วัน แต่ในวันนี้ (11 ธ.ค.) นายสุเทพโจทก์ได้ส่งทนายความยื่นคำร้องแย้งว่า ไม่ได้มีการประนีประนอมกับจำเลย จึงขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามที่นัดไว้ในวันที่ 14 ธ.ค.61 ตามเดิม.