xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวดี...ของ “สงครามเลือด”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


อ่านจากคอลัมน์ “รู้เท่าทันโลก” ของอาจารย์ “สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” ท่าน...เห็นว่า “ข่าวดี” เรื่องการ “พักรบ 90 วัน” ของ “สงครามการค้า” ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำเอา “หุ้นขึ้น” แบบระเบิดเถิดเทิงไปทั่วทั้งโลกกันเลยทีเดียวเจียว รวมทั้ง “ราคาน้ำมัน”ที่ทำท่าว่าจะต่ำๆ เตี้ยๆ ก็เริ่มผงกหัวเขยิบพรวดเดียวขึ้นมาประมาณ 5-6 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ภายใต้บรรยากาศที่อะไรมันออกไปทางดีๆ เช่นนี้...คงต้องขออนุญาตเสริมเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศ ด้วยการชวนให้ลองร่อนไป-ร่อนมาแถวๆ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โน่นเลย เพราะในช่วงระหว่างนี้ เห็นว่าด้วยความเพียรพยายามขององค์กรระหว่างประเทศอย่างยูเอ็น ที่ได้รับอาสาเป็นเจ้าภาพ จัดให้สถานที่แห่งนี้เป็นเวทีประชุมพบปะเจรจา เพื่อที่จะนำไปสู่การพักรบ หยุดยิง หรือจะไปไกลจนถึงขั้นยุติสงคราม ระหว่างพวกกบฏเยเมน ที่เรียกๆ กันว่าพวก “ฮูตี” (Houthis) กับตัวแทนรัฐบาลเยเมนของประธานาธิบดี “อับดุล รับบู มันซูร์” (Abd-Rabbu Mansour) กันเลยหรือไม่ อย่างไร ก็คงต้องช่วยตามไปลุ้น ตามไปเชียร์ ช่วยส่งความหวัง กำลังใจสวดมนต์อธิษฐาน ภาวนาให้มันมีโอกาสเป็นไปได้ เป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาแม้แต่เพียงนิดๆหน่อยๆ ก็ยังดี...

เพราะสงครามที่ว่านี้...มันคือ “สงครามเลือด” ที่หนักหนาสาหัส เหี้ยมโหด อำมหิตกว่า “สงครามการค้า” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือเรียกว่า...ไม่ได้ส่งผลแต่เฉพาะเรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องหุ้นขึ้น หุ้นลง อันเป็นความเจ็บปวดของพวก “แมลงเม่า” กันโดยเฉพาะ แต่ส่งผลต่อเลือดเนื้อและชีวิตของบรรดา “มนุษย์มนา” ตาดำๆ ทั้งหลาย ที่ตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ และกำลังจะตาย หรือใกล้ตายอีกเป็นล้านๆ ตลอดช่วงระยะ 3 ปี ของสงคราม ที่เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อช่วงเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2015 หลังจากที่พวกกบฏฮูตีบุกเข้ายึดกรุงซานา (Sanaa) เมืองหลวงของประเทศเยเมน โค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดี “มันซูร์” จนต้องเผ่นหนีไปซบตัก ซบตีน ประเทศซาอุฯ อันทำให้มกุฎราชกุมารซาอุฯ เจ้าชาย “MbS” ท่านเลยรวบรวมบรรดากองทัพพันธมิตร บุกเข้าถล่มประเทศเยเมนซะจนเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...

และแม้ว่าการบุกถล่มเยเมน...ภายใต้การอำนวยการของเจ้าชาย “MbS” มาโดยตลอด 3 ปีกว่าๆ ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดปูพรมพื้นที่แต่ละตารางนิ้วของประเทศจนๆประเทศนี้ไม่ต่ำกว่า 18,000 เที่ยว ตลอดไปจนประเคนปืนใหญ่ จรวด กระสุน ระเบิดต่างๆนานาในการรบภาคพื้นดินจนทำให้มนุษย์ตาดำๆ ล้มตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ โดยตัวเลขยูเอ็นนั้น อยู่ที่ประมาณ 10,000 กว่าๆ แต่ตัวเลขขององค์กรเอกชนในยุโรปบางราย ที่ยกขบวนเข้าไปสำรวจถึงพื้นที่ ว่ากันว่า...อาจสูงยิ่งไปกว่านั้นถึง 5 เท่า หรือไม่น่าจะต่ำกว่า 50,000 ศพขึ้นไป แต่กระนั้น...ก็ยังแทบไม่มีใครสนใจ ไม่เกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจ พอที่จะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศอันสุดแสนจะเหี้ยมโหดอำมหิตเหล่านี้ ให้บรรเทาเบาบางลงไปมั่ง...

แต่จะด้วยเหตุเพราะ “อานิสงส์” จาก “นิยายปริศนาฆาตกรรม” นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ ที่ช่วยขับเน้นภาพแห่งความเหี้ยมโหดอำมหิตของ “ฆาตกรรายเดียวกัน” คือผู้ฆ่า หรือสั่งให้ฆ่า “นายคาช็อกกี” กับผู้ฆ่า หรือสั่งให้ฆ่าชาวเยเมนชนิดกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้ กระแสของการพักรบ หยุดยิง ไปจนถึงการเรียกร้องให้ “ยุติสงครามเยเมน” จึงทำท่าว่าอาจเริ่มเป็นจริง เป็นจังขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะโดยการประกาศ “เลิกขายอาวุธ” ให้กับกองทัพซาอุฯ และพันธมิตรอย่างยูเออีโดยเด็ดขาด ของรัฐบาลเยอรมนีและนอร์เวย์ การเปรยๆ ว่ากำลังคิดหาช่องทางเพื่อ “ยุติสงครามเยเมนภายใน 30 วัน” ของรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ การหยิบเอาประเด็นเรื่องการฆาตกรรม “นายคาช็อกกี” และการหาทางยุติสงครามเยเมน ไปพูดจาหารือในที่ประชุม G-20 ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฯลฯ ไปจนถึงการลงมติของวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้วยจำนวนเสียง 63 ต่อ 37 ให้เดินหน้ากระบวนการหาข้อยุติสงครามเยเมนลงไปให้จงได้ ฯลฯ บรรดากระแสเหล่านี้นี่เอง เลยทำให้ตัวแทนรัฐบาลประธานาธิบดี “มันซูร์” ที่หลุบหัว หลุบหางอยู่ในราชอาณาจักรซาอุฯ จึงพร้อมที่จะตอบรับคำเชื้อเชิญของสหประชาชาติ เข้าร่วมพบปะเจรจากับตัวแทนของพวกกบฏฮูตี ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ภายในสัปดาห์นี้...

แม้ว่าในเวทีดังกล่าว...จะไม่มีผู้ที่อยู่เบื้องหลังสงครามคราวนี้ ไม่ว่าตัวแทนของซาอุฯ ยูเออี หรือแม้แต่อิหร่านเข้าร่วมด้วย แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ที่มีโอกาสเข้าร่วมประชุม ก็ค่อนข้างตั้งความหวังเอาไว้มิใช่น้อย ว่าอย่างน้อย...ก็อาจนำไปสู่การหยุดยิงในพื้นที่สำคัญๆ เช่น ในบริเวณเมือง Hodeidah อันถือเป็นเมืองท่าที่เหลือเป็นช่องทางเดียวเท่านั้น ในการส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมของโลกภายนอก เข้าไปสู่บรรดาประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 22 ล้านคนหรือต้องการอย่างเร่งด่วนสุดๆ ไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน ถ้าหากโชคดียิ่งกว่านี้...อาจนำไปสู่ข้อตกลงในการเปิดสนามบินนานาชาติกรุงซานาให้เป็นพื้นที่หยุดยิง เพื่อเพิ่มช่องทางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้สะดวกยิ่งขึ้น การส่งมอบแลกเปลี่ยนตัวเชลยของแต่ละฝ่ายจำนวนนับพันๆ คน ไปจนถึงความหวังที่จะยุติการทิ้งระเบิดของกองทัพซาอุฯ และยูเออีในพื้นที่ประเทศเยเมน รวมทั้งการเลิกใช้จรวด เครื่องบินโดรน ถล่มพื้นที่ประเทศซาอุฯ ยูเออีของฝ่ายกบฏฮูตีไปพร้อมๆ กัน...

อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องตั้งจิตอธิษฐาน ต้องร่วมสวดมนต์ภาวนาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ให้พอมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง ไม่ว่ามากหรือน้อย เพราะถ้าดูจากตัวเลขสถิติที่องค์กรความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม อย่าง “The United Nations Humanitarian Office” หรือ “OCHA” เขานำมาเปิดเผยแสดงให้เห็นกันจะจะถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ทรมานของผู้ที่มีเลือด มีเนื้อ มีชีวิตและวิญญาณ อันได้แก่บรรดาชาวเยเมนทั้งหลาย ซึ่งกำลังรอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงาน “OCHA” ในแต่ละวันแต่ละเดือน จากปี ค.ศ. 2017 ที่มีจำนวนประมาณ 3 ล้านคน มาปีนี้เพิ่มพรวดพราดขึ้นไปถึง 8 ล้านคน และในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2019 คาดว่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคนขึ้นไป บรรดาผู้ที่กำลังกระหายหิว ผู้ที่ปราศจากอาหาร น้ำดื่ม ไปจนตลอดยารักษาโรคขั้นพื้นฐาน ที่มีแต่ต้อง “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง ถ้าหาก “สงครามเลือด” เช่นนี้ มันยังไม่มีโอกาสผ่อนคลาย พักรบ หยุดยิง หรือสามารถหาข้อยุติกันได้สักกะที โดยเฉพาะที่น่าสลดหดหู่ น่าเวทนาเอามากๆ ก็คือในบรรดามนุษย์ตาดำๆ เหล่านี้ ประกอบไปด้วยเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวนถึง 1.8 ล้านคนเป็นอย่างน้อย...

ด้วยเหตุนี้...ในฐานะ “เพื่อนผู้ร่วมวัฏสังสาร” คงต้องหันไปให้ความสนใจ หรือให้ความสำคัญเอาไว้มั่ง หลังจากที่ได้มีโอกาสซื้อหุ้น-ขายหุ้น ได้เก็งกำไรน้ำมันกันแบบคล่องๆ คอ อันเนื่องมาจาก “ข่าวดี” ในเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างจีนกับอเมริกาที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจ “หายบ้าชั่วคราว” หรือในช่วงระยะประมาณ 90 วันนับจากนี้...


กำลังโหลดความคิดเห็น