"ไพศาล" แฉปมต่างชาติจ้องฮุบขุมทรัพย์กัญชาไทย แนะแนวทาง 7 ข้อแก้ปัญหา ชี้หากต่างชาติได้รับสิทธิบัตรจะได้รับประโยชน์จากการนี้ ไม่น้อยกว่าปีละ 8 แสนล้าน
นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการขอจดสิทธิบัตรกัญชาไทย ของต่างชาติว่า ทำไมต่างชาติจึงแห่ขอจดทะเบียนสิทธิบัตรกัญชาไทย แล้วทำกันอย่างเงียบกริบ
1. ผลการศึกษาวิจัยทั่วโลก ชัดเจนแล้วว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นยาวิเศษในการรักษาโรคร้ายแรงหลายโรค และเป็นอาหารของมนุษย์ที่ป้องกันโรคภัยอย่างยอดเยี่ยม
2. ต่างชาติรู้ชัดเจนว่า ถ้าได้สิทธิบัตรกัญชาไปแล้วก็จะได้รับผลประโยชน์จากกัญชาของประเทศไทย เป็นเงินไม่น้อยกว่าปีละ 8 แสนล้านบาท และอาจส่งออกไปขายทั่วโลกซึ่งได้ประโยชน์มหาศาล อีกด้วย
3. ต่างชาติรู้ดีว่า กำลังหมดยุคของการใช้ยาเคมีในการรักษาโรคมะเร็งแล้ว ไม่ว่าคีโม หรือมอร์ฟีน และสามารถใช้กัญชา ในการรักษาได้อย่างยอดเยี่ยม
4. ต่างชาติรู้ดีว่า ทั้งคนไทยและชาวโลกป่วยเป็นมะเร็ง และโรคร้ายแรงมากขึ้น เป็นความดัน เบาหวาน มากขึ้น ดังนั้นกัญชา จึงเป็นขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่
5. ประเทศไทยมีคนขายชาติที่ทรยศต่อคนไทย พร้อมขายผลประโยชน์แห่งชาติให้ต่างชาติในราคาถูกๆ และแบบโง่ๆ จึงแห่กันมาขอจดสิทธิบัตร แต่สิ่งที่ต่างชาติไม่รู้ก็คือ วันนี้ประชาชนไทยทั่วประเทศทราบความจริงแล้ว และพร้อมต่อสู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งชาติจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายไพศาล ยังโพสต์ข้อความระบุว่า มีพรรคการเมืองบางพรรค ถามผมว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องกัญชาอย่างไร ผมตอบว่า
1. ในระยะแรก จะยังคงกัญชาไว้เป็นยาเสพติด ประเภท 5 แต่ให้ปลดกัญชง และกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติด ให้ใช้ได้โดยเสรี (เมื่อได้เพิกถอนการขอจดทะเบียนสิทธิบัตรของต่างชาติแล้ว ก็ให้ปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดทันที )
2. อนุญาตให้ อบจ. องค์กรของรัฐ และเอกชน สามารถปลูกกัญชาได้ โดยต้องขออนุญาตจากปปส. และอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพบก หรือปปส.
3. อนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถใช้กัญชา และสารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคมะเร็ง พาร์กินสัน ลมชัก เบาหวาน ความดัน และอนุญาตให้ตำรับยาแผนไทยที่เคยมีมาแต่ก่อนสามารถใช้กัญชา เป็นตัวยาได้
4. อนุญาตให้โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน รวมทั้งคลินิกที่ได้รับอนุญาต สามารถใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคได้
5. อนุญาตให้ส่งออกไปยังประเทศที่มีการปลดล็อกกัญชาเพื่อการค้าได้
6. จัดเก็บภาษีในการปลูกกัญชา และในการขายสารสกัดจากกัญชา เป็นภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 20 เว้นแต่ที่เป็นยา ให้เก็บภาษีแค่ 10%
7. ให้เพิกถอนคำขอสิทธิบัตรของต่างชาติทั้งหมด และกำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตปลูกหรือแปรรูปหรือขายกัญชาต้องเป็นคนไทยหรือบริษัทไทยเท่านั้น
วันหนึ่ง ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะพลังขายชาตินั้น ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานพลังรักชาติ ของประชาชนได้
นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการขอจดสิทธิบัตรกัญชาไทย ของต่างชาติว่า ทำไมต่างชาติจึงแห่ขอจดทะเบียนสิทธิบัตรกัญชาไทย แล้วทำกันอย่างเงียบกริบ
1. ผลการศึกษาวิจัยทั่วโลก ชัดเจนแล้วว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด แต่เป็นยาวิเศษในการรักษาโรคร้ายแรงหลายโรค และเป็นอาหารของมนุษย์ที่ป้องกันโรคภัยอย่างยอดเยี่ยม
2. ต่างชาติรู้ชัดเจนว่า ถ้าได้สิทธิบัตรกัญชาไปแล้วก็จะได้รับผลประโยชน์จากกัญชาของประเทศไทย เป็นเงินไม่น้อยกว่าปีละ 8 แสนล้านบาท และอาจส่งออกไปขายทั่วโลกซึ่งได้ประโยชน์มหาศาล อีกด้วย
3. ต่างชาติรู้ดีว่า กำลังหมดยุคของการใช้ยาเคมีในการรักษาโรคมะเร็งแล้ว ไม่ว่าคีโม หรือมอร์ฟีน และสามารถใช้กัญชา ในการรักษาได้อย่างยอดเยี่ยม
4. ต่างชาติรู้ดีว่า ทั้งคนไทยและชาวโลกป่วยเป็นมะเร็ง และโรคร้ายแรงมากขึ้น เป็นความดัน เบาหวาน มากขึ้น ดังนั้นกัญชา จึงเป็นขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่
5. ประเทศไทยมีคนขายชาติที่ทรยศต่อคนไทย พร้อมขายผลประโยชน์แห่งชาติให้ต่างชาติในราคาถูกๆ และแบบโง่ๆ จึงแห่กันมาขอจดสิทธิบัตร แต่สิ่งที่ต่างชาติไม่รู้ก็คือ วันนี้ประชาชนไทยทั่วประเทศทราบความจริงแล้ว และพร้อมต่อสู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งชาติจนถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายไพศาล ยังโพสต์ข้อความระบุว่า มีพรรคการเมืองบางพรรค ถามผมว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องกัญชาอย่างไร ผมตอบว่า
1. ในระยะแรก จะยังคงกัญชาไว้เป็นยาเสพติด ประเภท 5 แต่ให้ปลดกัญชง และกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติด ให้ใช้ได้โดยเสรี (เมื่อได้เพิกถอนการขอจดทะเบียนสิทธิบัตรของต่างชาติแล้ว ก็ให้ปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดทันที )
2. อนุญาตให้ อบจ. องค์กรของรัฐ และเอกชน สามารถปลูกกัญชาได้ โดยต้องขออนุญาตจากปปส. และอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพบก หรือปปส.
3. อนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถใช้กัญชา และสารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคมะเร็ง พาร์กินสัน ลมชัก เบาหวาน ความดัน และอนุญาตให้ตำรับยาแผนไทยที่เคยมีมาแต่ก่อนสามารถใช้กัญชา เป็นตัวยาได้
4. อนุญาตให้โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน รวมทั้งคลินิกที่ได้รับอนุญาต สามารถใช้กัญชาหรือสารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคได้
5. อนุญาตให้ส่งออกไปยังประเทศที่มีการปลดล็อกกัญชาเพื่อการค้าได้
6. จัดเก็บภาษีในการปลูกกัญชา และในการขายสารสกัดจากกัญชา เป็นภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 20 เว้นแต่ที่เป็นยา ให้เก็บภาษีแค่ 10%
7. ให้เพิกถอนคำขอสิทธิบัตรของต่างชาติทั้งหมด และกำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตปลูกหรือแปรรูปหรือขายกัญชาต้องเป็นคนไทยหรือบริษัทไทยเท่านั้น
วันหนึ่ง ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะพลังขายชาตินั้น ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานพลังรักชาติ ของประชาชนได้