xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

แก๊งกุมารทองคะนองฤทธิ์ พลิกปูมพี่ใหญ่ “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล” แบก “กระสุน” แลกเก้าอี้ “ผู้ว่าฯ กทม.”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับเป็นฝ่ายการเมืองกลุ่มแรกๆ สำหรับ “กลุ่มอดีตแกนนำ กปปส.” ที่โร่มาซบตัก และเป็นมือทำงานให้กับ “ทีมพลังประชารัฐ” ภายใต้ปีก “รัฐบาล คสช.”

ไล่ตั้งแต่ “เสี่ยจั๊ม” สกลธี ภัททิยกุล ลูกชาย “บิ๊กตุ่น” พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ได้รับ “บำเหน็จ” ก่อนใครเพื่อน ในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2561 ภายหลังนำคณะเข้าไปพบ “ผู้ใหญ่” ในทำเนียบรัฐบาล แบบไม่ปิดบังไม่นาน

ครั้งนั้นถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “พลังดูด คสช.-พลังดูดประชารัฐ” ก็ว่าได้
หลายเดือนต่อมาถึงเป็นคิวของ “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ก่อนได้ควบเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยอีกตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้

ไม่เฉพาะ “เสี่ยจั้ม-เสี่ยบี” เท่านั้น ยังหมายรวมไปถึง "เสี่ยตั้น" ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์ อีกด้วย ผันตัวจาก “ขุนพลฮาร์ดคอร์” ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “แก๊ง 4 กุมาร กปปส.” กำลังหลักของ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ สมัยทำม็อบชัตดาวน์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขับไล่ระบอบทักษิณ มาเป็น “ขุนพลประชารัฐ” ในนาทีนี้

ชัดเจนที่สุดคงเป็นภาพเมื่อครั้งเปิดตัว “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ปรากฎภาพ “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์-สกลธี” โผล่ไปร่วมงานด้วย โดย “ณัฏฐพล” ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ส่วน “พุทธิพงษ์” ก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค มีเพียง “สกลธี” เท่านั้นที่ยังไม่รับตำแหน่งในส่วนบริหารของพรรค

ถือเป็น 3 ใน 4 กุมาร กปปส.ที่มาร่วมงานกับรัฐบาล คสช.และพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มตัว ขาดไปก็เพียง “นายหัวลูกหมี" ชุมพล จุลใส คนโตชุมพร ที่ยังจำเป็นต้องพึ่งพิงคะแนนนิยมพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้อยู่

อย่างไรก็ดีมีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อยว่า เหตุใดจึงมีเฉพาะ “เสี่ยบี-เสี่ยจั้ม” ที่ได้รับ “บำเหน็จ” เป็นตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาลเท่านั้น ไฉนถึงไม่มีที่ว่างให้ “เสี่ยตั้น” ที่เป็นที่รู้กันว่า เป็น “พี่ใหญ่” ของกลุ่ม

นอกเหนือจากความอาวุโสสูงสุดแล้ว ยังมีคำยืนยันจาก “ชุมพล” ที่เคยเปิดเผยในช่วงการชุมนุม กปปส.ด้วยว่า ที่แก๊ง 4 กุมารทองมารวมตัวกันได้เพราะอายุใกล้เคียงกัน มี “ณัฏฐพล” เป็นพี่ใหญ่ รองลงมาคือ “พุทธิพงษ์” เป็นพี่รอง และ “สกลธี” เป็นน้องเล็ก

พร้อมขยายความด้วยว่า “พี่ณัฏฐพล ความคิดเฉียบแหลม มีเหตุผล เป็นพี่ใหญ่ คอยเตือนน้องๆ สุขุม รอบคอบ พูดจามีหลักเกณฑ์ สุภาพ และรับฟังข้อคิดเห็นของน้องๆ สำหรับพี่บี เป็นคนมีเหตุผล กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ไม่โกรธ ไม่ทะเลาะกัน วิเคราะห์ว่าทำแบบนี้ผิดกฎหมาย และใจถึง น้องเล็กอย่างสกลธี เป็นลูกทหาร รู้เรื่องทหารดี มีเหตุผล”

ถือเป็นการฉายภาพความสัมพันธ์ภายใน “แก๊ง 4 กุมาร” ได้อย่างชัดเจน

สงสัยใคร่รู้กันอยู่ไม่นาน ก็มีกระแสข่าวลือสนั่นทุ่งเสาชิงช้า ต้อนรับเทศกาลเลือกตั้ง กับการเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ประจำการอยู่
ทำเอา “บิ๊กวิน” ต้องโร่ออกมาแก้ข่าว ยืนยันว่า ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหน พร้อมบลัฟกลับ “ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.เรื่อยๆ สัก 4-5 ปีก็ได้” ก่อนไล่ให้ไปถาม “คนตัดสินใจ-ผู้มีอำนาจ” ในการเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯกทม.อย่าง “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ผู้ถือดาบ มาตรา 44 และใช้ดาบที่ว่าแต่งตั้ง “บิ๊กวิน” มากับมือ

“ก็แค่ลือกันไปจากคนที่อยากมาเลื่อยขาเก้าอี้ แต่ขอโทษเป็นเก้าอี้เหล็ก ส่วนใครจะมาเป็น ผู้ว่าฯ กทม. ก็รอหน่อย” คือคำตอบของ “พ่อเมืองอัศวิน” ที่ไม่ดูจะสะท้านกับเกมของ “เจ้ากรมข่าวลือ”

ไม่ใช่แค่ปัดข่าวเท่านั้น “บิ๊กวิน” ยัง “วางสนุ๊ก” ด้วยว่า หากต้องเปลี่ยนตัวจริงตอนนี้ ก็ ต้องมาจาก “คนแต่งเครื่องแบบ” คล้ายกับรู้ว่า “คนเลื่อยขา” เป็น “พลเรือน” อย่างไรอย่างนั้น

สืบสาวราวเรื่องก็ได้ความว่า มีขบวนการจุดพลุ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” อ้างว่าเพื่อเตรียมรับมือกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยหมายให้ “ผู้ใหญ่” วางตัว “คนพลังประชารัฐ” ไปคุมเกมใน “ทำเนียบเสาชิงช้า” ดูแลยุทธภูมิสำคัญพื้นที่เมืองหลวง

โดยผู้ที่ถูกปล่อยชื่อว่าจะเข้ามาเสียบแทน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล” ที่ตอนนี้ยัง “ขาลอย” ไม่มีตำแหน่งแห่งที่เหมือนน้องในทีมนั่นเอง

แล้วหากจำกันได้สมัยที่มีการส่ง “เสี่ยจั้ม-สกลธี” มาช่วยงาน “ผู้ว่าฯอัศวิน” ในตำแหน่งรองผู้ว่าฯกทม.นั้น “บิ๊กวิน” แทบจะไม่ได้ตั้งตัว ยังโบ้ยบ้ายให้ไปถามผู้มีอำนาจถึงเหตุผลในการแต่งตั้ง “สกลธี” ด้วยซ้ำไป

ในความเป็นจริงแต่เดิมทั้ง “แก๊งกุมาร” และ “อัศวิน” ก็แตกหน่อมาจาก “ขั้วประชาธิปัตย์” เหมือนกัน แต่ก็เดินกันแบบ “คู่ขนาน”

ด้วยฝ่ายแรกยึดโยงอยู่กับขั้วอำนาจของ “สุเทพ” ขณะที่ฝ่ายหลังได้เป็นรองผู้ว่าฯกทม.สมัย “หม่อมหมู” สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นพ่อเมืองหลวง ในโควตาของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มากกว่า

คำถามมีว่า ในเมื่อ “ณัฏฐพล” ก็มีตำแหน่งใหญ่เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้ว เหตุใดจึงยังมาหมายตาเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ในยามนี้ ด้วยข้ออ้างตระเตรียมตัวคุมเลือกตั้งก็ดูจะ “ฟังไม่ขึ้น” เพราะ “อัศวิน” ก็ถือเป็น “สายตรง คสช.” โดยแท้อยู่แล้ว

อีกทั้งก็มี “สกลธี” อยู่ในตำแหน่งรองผู้ว่าฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้อำนาจหน้าที่ในการเตะสกัดกลเกมหาเสียงของฝ่ายตรงข้ามอยู่เนืองๆ ไม่ว่าประกาศห้ามฉีดยุง-ฉีดหมา หรือการไล่เก็บป้ายที่เข้าข่ายโฆษณาหาเสียง จนพวกโวยวายกันลั่นพระนคร

ไม่เท่านั้น “เกมลึก” อย่างการแบ่งสรรปันพื้นที่ในเขตเลือกตั้งต่างๆ ของ กทม. ก็ว่ากันว่าเป็น “แก๊งสี่ยอดกุมาร” อยู่เบื้องหลังในการจัดแจงแบ่งเขตจนปูดบานไปถึง 4-5 รูปแบบ มากกว่าพื้นที่อื่นทั่วประเทศที่มีเต็มที่แค่ 3 รูปแบบเท่านั้น

อ่านทางกันอย่างไม่อ้อมค้อม ก็ดูเหมือนว่า “ณัฏฐพล” เริ่มรู้ตัวว่า “พรรคพลังประชารัฐ” อาจจะไม่เปรี้ยงปร้างมากนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า อีกทั้งแน่ชัดแล้วว่า ทั้ง 3 กุมาร คงไม่ลงสมัคร ส.ส.เขต กทม. ในพื้นที่เดิมของตัวเอง ด้วยรู้ตัวว่า “คงจะไปไม่รอด” ยากที่จะฝ่ากระแสพรรค “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ไปเข้าป้ายได้ ครั้นจะไปหวังเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็ไม่รู้ว่าคะแนนพรรคจะไปถึงอันดับที่เท่าไร

ในยามที่ค่อนข้างมีความสำคัญต่อ “พลังประชารัฐ” ก็หมายใช้กำลังภายในยึดของแน่ๆ อย่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ไว้ก่อน เพราะแม้ว่าเลือกตั้งใหญ่ผ่านพ้นไป ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็คงยังไม่เปลี่ยนมือในเร็ววัน จนกว่าจะมีการ เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งใหม่ ที่เชื่อว่าจะจัดเลือกตั้งได้เป็นลำดับท้ายๆ หลังการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศซะอีก

การยื่นข้อเสนอขอเสียบเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ที่มีเจ้าเข้าเจ้าของอยู่เดิมนั้น ก็คงเพราะยามนี้ “แก๊งกุมาร” คึกคะนองกันสุดฤทธิ์ และคล้ายว่าเป็น “ลูกรัก” ของผู้ใหญ่ในรัฐบาล คสช. ดูจากคิวล่าสุด “นายพลไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด สายตรงนายกฯตู่ ก็เก้าอี้โฆษกรัฐบาลหลุดลอยไป โดยที่ “แก๊งกุมาร” มาเสียบหน้าตาเฉย

เฉกเช่นเดียวกับการขับเคลื่อนภายใน “พรรคพลังประชารัฐ” เอง ทุกสายรายงานตรงกันว่า “ณัฏฐพล-พุทธิพงษ์-สกลธี” ตั้งตัวเป็น “กุนซือใหญ่” ด้วยความที่มีโปรไฟล์ผ่านสนามเลือกตั้ง ลุยงานการเมืองมามากกว่าใครเพื่อน ทั้งที่แต่ละหน่อพกดีกรีเป็น ส.ส.กันมาแค่สมัยเดียว และเป็น “ส.ต.สอบตก” กันมาก็บ่อย หลายครั้งทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายใน ที่ทักจะ “ออฟไซต์-ล้ำเส้น” จนขั้วอื่นในพรรคแสดงความไม่พอใจ

พูดให้ถูกในทางการการเมือง ทั้ง 3 คนก็อยู่แค่ในระดับ “กุมาร” ตามสมญา หาใช่ “ดาวฤกษ์” อย่างที่เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วแต่อย่างใด

แต่ก็คงมองข้าม “จุดแข็ง” ของ “แก๊งกุมาร” ไปไม่ได้ อย่างน้อยๆ “สกลธี” ก็มี “ป๋าวินัย” เป็นแบ๊คอัพในเรื่อง “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ในระดับอำนาจ โดยเฉพาะในวงการทอปบูต ขณะที่ “พุทธิพงษ์” พื้นเพมาจากตระกูลผู้ลากมากดีเก่า กว้างขวางแวดวงไฮโซ-ไฮซ้อ

แต่ที่ “แข็งโป๊ก” ต้องยกให้พี่ใหญ่อย่าง “ณัฏฐพล” ที่เดิมมีฐานมาจากวงการธุรกิจ ทั้งตัวเอง และจากผู้เป็นพ่ออย่าง วีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการธนาคารกรุงศรีอยุธยา และอีกหลายธุรกิจในเครือข่าย ครั้งหนึ่ง “ทีปสุวรรณ” เคยถูกยกให้ติด 1 ใน 10 ตระกูลเจ้าสัวเมืองไทยเลยทีเดียว ส่วนตัว “เสี่ยตั้น” เองก็โดดเด่นเรื่องการตลาดประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมพรม-กระเบื้องมาก่อน รวมไปถึงวงการกีฬา ทั้งการช่วยงานสมาคมเทควันโด ก่อนฉีกตัวมาโลดแล่นในสังเวียนลูกหนังทั้งระดับสโมสร และทีมชาติ

ไม่เพียงเท่านั้น “เงินยังต่อเงิน” ด้วยการที่มีภรรยาคือ “มาดามอีฟ” ทยา ทีปสุวรรณ สกุลเดิม “ศรีวิกรม์” แห่งโรงเรียนศรีวิกรม์ ที่มีธุรกิจในเครือข่ายอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล” โรงแรมหรูกลางใจเมือง ที่เป็น “วอร์รูม” ของ “แก๊งกุมาร” มาตั้งแต่สมัยชุมนุม กปปส.

เป็นคู่ผัวเมีย “ณัฐฏพล-ทยา” ที่ช่วงชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยก่อวีรกรรม บุกไปเป่านกหวีดใส่ “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลางห้างดัง ร้อนถึง คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ แม่ของมาดามอีฟ ต้องต่อสายขอโทษขอโพย “หญิงอ้อ” ด้วยตัวเอง

แต่ก็ไม่วายถูก “มือมืด” ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16-อาก้า ยิงถล่มบ้านพักของ “คุณหญิงศศิมา”

ความใจถึงของ “คู่รักนักบู๊” คู่นี้ นอกจากหน้าฉากที่ออกหน้าเป็นแกนนำต่อสู้กับระบอบทักษิณแล้ว เบื้องหลังยังว่ากันว่าเป็น “ทุนใหญ่” ที่ร่วมสนับสนุนน้ำเลี้ยงให้กับม็อบ กปปส.อีกด้วย

ถือเป็นที่มาที่ไปของ “เสี่ยตั้น-ณัฐฏพล” ที่แม้จะถูกดูแคลนว่า ด้อยประสบการณ์ “การเมือง” ไปบ้าง แต่ในแง่ทาง “การเงิน” ดูจะไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน

แล้วที่ล็อกเป้าหมายตา เก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.หนนี้ ก็คงไม่ได้มาแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ปัจจัยชี้ขาดว่าจะ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” หรือไม่นั้น “ผู้ใหญ่” คงไม่ได้มองแง่ “กระแส” ในสนามเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว

หลักใหญ่ใจความน่าจะวัดกันที่ “กระสุน” มากกว่า.




กำลังโหลดความคิดเห็น