xs
xsm
sm
md
lg

MbS จอมโหด กำลังถูกคว่ำบาตร-นอกจากทรัมป์

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


งานช้างเปิดระดมทุนเข้าสู่โครงการพื้นฐานของซาอุฯ ในวันที่ 23-25 ตุลาคม ที่ริยาร์ด ที่เรียกว่า Future Investment Initiative หรืองานริเริ่มเปิดการลงทุนเทียบชั้นเป็น “Davos in the Desert” กำลังถูกคว่ำบาตรอย่างรุนแรง กรณีนายจามาล คาช็อกกี หายตัวไปที่สถานกงสุลซาอุฯ ในกรุงอิสตันบูล โดยมีการตั้งข้อสังเกตจากทางการตุรกีว่า เขาถูกทรมานและฆ่าภายใน 2 ชม.ที่เขาเหยียบเข้าไปในสถานกงสุล หลังจากนั้นได้มีการหั่นศพและทำลายหลักฐานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำชิ้นส่วนศพบรรจุในรถแวนสีดำ ขับออกจากสถานกงสุลไปยังบ้านของกงสุลที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานกงสุลนั่นเอง

หลักฐานที่กำลังทยอยออกมาจากฝ่ายทางการตุรกี น่าจะมาจาก 2 แหล่งคือ การแอบดักฟังการติดต่อสื่อสารของสถานทูต และสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี ทั้งก่อนและหลังการนัดฆ่าหั่นศพ ซึ่งน่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอ หรือ M1-5 ของอังกฤษด้วย

อีกแหล่งคือ Apple Watch ที่นายคาช็อกกีสวมอยู่ในขณะที่เดินเข้าไปติดกับดักที่สถานกงสุล โดยอาจมีการบันทึกและเก็บไว้ใน Cloud ก่อนส่งต่อมาให้โทรศัพท์ของเขาที่ฝากคู่หมั้นเอาไว้

เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อพำนักอยู่ในซาอุฯ หลังจากได้เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ MbS ที่ใช้วิธีการเก็บฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกับตัวเขา เป็นการแผ่อิทธิพลโดยใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในฐานะมกุฎราชกุมาร และรมต.กลาโหม จนมีเจ้านายบางองค์หายตัวไปอย่างลึกลับ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการจะนำหุ้นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Aramco ออกขายในตลาดทุน ในขณะที่ราคาหุ้นกำลังตก และนักเคลื่อนไหวสตรีที่รณรงค์ให้ผู้หญิงซาอุฯ สามารถขับรถยนต์ได้...ทั้งหมดรวมทั้งนักนสพ.ที่ออกมาวิจารณ์ MbS ถูกข้อหาบ่อนทำลายความมั่นคง และต้องเข้าไปอยู่ในคุกกันเป็นแถว ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้

เขายังเป็นนักเขียนคอลัมน์ให้กับนสพ.วอชิงตัน โพสต์ และจุดยืนคือจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซาอุฯ เพราะตระกูลของเขารับใช้ราชวงศ์มาตลอดระยะยาวนาน เพียงแต่เขาวิพากษ์องค์มกุฎราชกุมาร เพื่อให้ MbS หันกลับมาบริหารประเทศในทางที่เหมาะสม เพื่อราชวงศ์จะได้รุ่งเรืองตลอดไป

เพื่อนนายคาช็อกกีเล่าว่า นายคาช็อกกีได้รับการติดต่อจาก MbS เพื่อขอให้เขาไปพบที่สถานทูตซาอุฯ เป็นการฟื้นสัมพันธ์สู่ปกติ โดยจะมอบหมายงานให้เขาทำ แต่นายคาช็อกกีบอกว่า เขารู้ทันว่าจะถูกหลอกเพื่อจับตัวหรือจะฆ่าปิดปาก เขาจึงไม่เดินทางไปพบ

นายคาช็อกกีได้ย้ายมาพำนักที่สหรัฐฯ และได้ใบต่างด้าว (Residence) หรือ Greencard และเดินทางระหว่างสหรัฐฯ ตุรกี และอีกหลายประเทศ

ลูก 3 คนของเขาเกิดในสหรัฐฯ และเป็นพลเมืองอเมริกันด้วย แต่ตัวเขายังไม่เป็นพลเมืองอเมริกัน

เขากำลังทำเรื่องหย่าร้างกับภรรยาชาวซาอุฯ เพื่อแต่งงานใหม่กับคู่หมั้นที่เป็นชาวตุรกี จึงได้ยื่นเรื่องขอหย่า โดยเลือกสถานกงสุลซาอุฯ ที่อิสตันบูล เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปรากฏว่า สถานกงสุลให้การต้อนรับเขาดีมาก แต่บอกว่าเอกสารยังไม่เสร็จ ให้กลับมารับในวันที่ 3 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่เขาไม่ได้เดินทางกลับออกมาจากสถานกงสุลอีกเลย!

รัฐบาล 3 ประเทศคือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้ออกแถลงการณ์ร่วม ให้ทางซาอุฯ สอบสวนอย่างโปร่งใสและแสดงหลักฐานว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายคาช็อกกี ขณะที่รมต.ต่างประเทศอังกฤษ Jeremy Hunt ประกาศจะดำเนินการอย่างเหมาะสม ถ้าทางการซาอุฯ อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนายคาช็อกกี

สภาคองเกรสของสหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวคึกคัก โดยสมาชิกวุฒิสภาอาวุโสเช่น ลินซี แกรมม์ ส.ว.อาวุโสแห่งเซาท์ แคโรไลนา, หรือหมอ Rand Paul แห่ง Kentucky ได้ลงชื่อทันที 20 คนเพื่อเสนอวุฒิสภาพิจารณาตัดการขายอาวุธ (ทันสมัยมากๆ) ให้กับรัฐบาลซาอุฯ เป็นการกดดันปธน.ทรัมป์ ที่โอ้อวดถึงการขายอาวุธล็อตใหญ่ให้ซาอุฯ (ผ่านรมต.กลาโหม MbS) เมื่อปีที่แล้ว ขณะไปรำดาบเยือนซาอุฯ เป็นประเทศแรก...มูลค่าสูงถึง 1 แสน 1 หมื่นล้านเหรียญ (3.5 ล้านล้านบาท)

หลักฐานที่ค่อยๆ ออกมาจากทางการตุรกี กำลังกดดันเจ้าของอธิปไตย ที่ตุรกีต้องใช้กฎหมายของเขา ถ้ามีการฆ่าหั่นศพภายในสถานกงสุล แม้ซาอุฯ มีสิทธิภายในสถานกงสุลก็ตาม ก็ต้องเคารพกฎหมายของตุรกี

ขณะที่ประเทศประชาธิปไตยแนวหน้า ที่เน้นคุณค่าของสิทธิมนุษยชน จะไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ มองข้ามการละเมิดอย่างรุนแรงโหดเหี้ยมของทางการซาอุฯ ได้ โดยเฉพาะหลักฐานว่า น่าจะเป็นคำสั่งจาก MbS ซึ่งมีการ “เก็บ” สมาชิกราชวงศ์และฝ่ายตรงข้ามที่หายตัวไปลึกลับในซาอุดีอาระเบีย

ทรัมป์พูดอ้อมแอ้มว่า จะดำเนินการให้ความจริงปรากฏ และจะลงโทษซาอุฯ ถ้าเกิดการฆ่าโหดเหี้ยมแก่นักนสพ.ซาอุฯ แต่นายคาช็อกกีไม่ใช่คนอเมริกัน (หาทางลงเอาไว้แล้ว)

และตอบโต้แรงกดดันในสภาไว้ล่วงหน้าว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมลงโทษตัวเอง โดยยกเลิกการขายอาวุธมูลค่ามหาศาลแก่ซาอุฯ (ได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว เพียงรอการส่งมอบในล็อตต่อๆ ไป) เพราะอาวุธทันสมัยนี้ สร้างงานในสหรัฐฯ อย่างน้อยมากกว่า 5 หมื่นตำแหน่งทีเดียว

ทรัมป์บอกว่า ถ้าสหรัฐฯ ไม่ขายอาวุธให้ซาอุฯ เขาก็ยังไปซื้อจากฝ่ายคู่แข่งของเราคือ รัสเซีย และจีน ทำให้ทั้งสองประเทศยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

รมต.การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) Liam Fox ของอังกฤษ แสดงท่าทีจะยกเลิกการเข้าร่วมประชุมที่ริยาร์ดในวันที่ 23 นี้ ซึ่งเป็น Show ใหญ่ของ MbS ที่จะเปิดม่านถึงปี 2030 (อีก 12 ปี) ที่ซาอุฯ จะพลิกโฉมเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่พึ่งพิงสินค้าตัวใหม่ๆ (นอกเหนือจากน้ำมันดิบ) ไม่ว่าจะเป็นด้านไอที, การอวกาศ, ศูนย์การขนส่งคมนาคม, การเงิน, การท่องเที่ยว, การบันเทิง ฯลฯ

รมต.คลัง Mnuchin ของสหรัฐฯ ขู่ว่าอาจยกเลิกการเข้าร่วมเช่นกัน ถ้าไม่มีการอธิบายที่เหมาะสมจากทางการซาอุฯ

Sir Richard Branson ประกาศยกเลิกการเข้าร่วมงาน ที่ตนจะร่วมวงอภิปรายด้วย และขอหยุดการเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการอวกาศของซาอุฯ ที่เขาคิดจะควักกระเป๋าถึง 1 พันล้านเหรียญ (3 หมื่นล้านบาท)

บริษัทสื่อยักษ์ประกาศคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมการสัมมนา และดำเนินรายการ ไม่ว่าจะเป็น NYT, WAPO, FT, The Economist, CNN, CNBC, BBC และกำลังทยอยประกาศกันออกมาอีกมาก

บริษัท Ford ประกาศไม่เข้าร่วมการสัมมนากับ MbS ; ธนาคารเพื่อการลงทุนยักษ์ ไม่ว่าจะเป็น JP Morgan Chase (โดย Jamie Diamond) และกำลังมีสถาบันอื่นๆ ทยอยประกาศคว่ำบาตร แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ระงับการออกพันธบัตรให้กับซาอุฯ ท่ามกลางตลาดหุ้นของซาอุฯ ที่เปิดวันอาทิตย์ก็ดิ่ง 500 จุด (-7%) ก่อนจะกลับมาปิดดิ่งเกือบ 300 จุด (-35%) ดัชนีกลับไปจุดที่เริ่มเมื่อต้นปี

MbS คงคำนวณแล้วว่า เขามีพันธมิตรเหนียวแน่นคือทรัมป์ ที่เกลียดกลัวสื่อจนประกาศเสมอว่า สื่อคือศัตรูของประชาชน และทรัมป์กำลังเข้าใกล้การเลือกตั้งกลางเทอม ที่ไม่อยากให้ราคาน้ำมันพุ่ง เดี๋ยวราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สหรัฐฯ จะพุ่ง ดังนั้น สหรัฐฯ จะไม่อยากคว่ำบาตรน้ำมันซาอุฯ แน่นอน และยอดสั่งซื้ออาวุธของซาอุฯ ก็สร้างงานที่สหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้สภาคองเกรสให้หยุดขายอาวุธให้ซาอุฯ ด้วย

MbS จึงไม่ยี่หระต่อโลก ที่กำลังประณามความโหดเหี้ยมของเขา เพราะเขากำลังกำจัดเสี้ยนหนาม เพื่อก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ซาอุฯ ต่อไปในอีกไม่ช้า


กำลังโหลดความคิดเห็น