ภาพหวานชื่นระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เปลี่ยนน้ำหนักการประชุมผู้นำโลกที่ยูเอ็น (ที่จะมีขึ้นตั้งแต่อาทิตย์นี้ที่นิวยอร์ก) จากฉากดุเดือดเลือดพล่านในปีที่แล้วไปอย่างสิ้นเชิง
ปีที่แล้ว คำพูดที่ร้อนแรงปะทะกันที่เวทีสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ และที่เวทีคณะมนตรีความมั่นคงเหมือนไฟบรรลัยกัลป์ที่พ่นออกมาจากปากของผู้นำทรัมป์ที่มีปุ่มนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในกำมือ ข่มขู่คุกคามต่อผู้นำที่อายุอ่อนกว่า 40 ปีแห่งเกาหลีเหนือ ว่าจะทำลายเกาหลีเหนือให้หายไปจากโลกในพริบตาเดียว พร้อมกับการตอบโต้ชนิดช็อต-ต่อ-ช็อตทันควันจากรมต.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ พร้อมแถลงการณ์จากประธานคิม
เป็นลักษณะตา-ต่อ-ตา ฟัน-ต่อ-ฟัน ที่ผู้นำประเทศจิ๋วอย่างเกาหลีเหนือ แต่มีสมรรถนะด้านนิวเคลียร์ที่เอาไว้คุ้มครองประเทศของตนให้พ้นภัย ได้ประกาศศักดาไม่เกรงกลัวสหรัฐฯ แม้แต่น้อย
เล่นเอาตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกหวั่นไหวต่อความเสี่ยงการสู้รบที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้
แต่ด้วยความสุขุมรอบคอบ ลูกเล่นลูกชนที่ไม่ธรรมดา รวมทั้งที่สำคัญคือความแน่วแน่ที่จะสร้างสันติภาพ สันติสุขในคาบสมุทรเกาหลีของผู้นำเกาหลีใต้ ซึ่งแทนที่จะเป็นสนามรบ (อย่างที่สหรัฐฯ ได้ประกาศศักดามาตั้งแต่สมัยนายพลแมคอาเธอร์ครอบครองเกาหลีใต้) ก็เปลี่ยนมาเป็นสนามแห่งการร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะทำให้รุ่งเรืองกันทั้งคาบสมุทร
ปธน.มุน หักมุมได้อย่างสวยงาม เมื่อใช้กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเป็นตัวเชื่อมเปิดประตู และเปิดใจรับเกาหลีเหนือมาร่วมงาน
ตบมือข้างเดียวจะไม่มีเสียงดัง ฝ่ายประธานคิมก็ได้มองทะลุว่า ขณะนี้เกาหลีใต้ทุ่มสรรพกำลังเพื่อหาอาวุธ (นิวเคลียร์) มาปกป้องตนเองได้แล้ว ก็ต้องถึงเวลาที่จะหันมาพัฒนาประเทศ ให้ประชาชนกินดี อยู่ดี คือ ต้องทุ่มเทสรรพกำลังในด้านพัฒนาเศรษฐกิจ จะต้องค่อยๆ เปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนและการค้าขาย แทนการแข่งขันสร้างอาวุธ ถึงกับประกาศเจตนารมณ์ที่พรรคแรงงานแห่งชาติว่า จะหันมาพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน
จังหวะย่างก้าวทางประวัติศาสตร์มาลงตัวพอดีกับปธน.มุน ที่มีเจตนารมณ์ย่างก้าวถางทางไปสู่การรวมชาติในอนาคต
ด้วยฝีมือของมุน ทำให้เขาหว่านล้อมจนประชุมสุดยอดกับประธานคิม ครั้งที่ 1
ระหว่างนั้น เขาเกรงว่าปธน.ทรัมป์จะไม่ได้หน้าตาเต็มที จึงสรรเสริญเยินยอทรัมป์ที่ยอมประกาศจะประชุมสุดยอดกับคิม ทำให้เกิดการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ได้ จนนักรัฐศาสตร์หลายคนมองว่า ผลงานเด่นสุดของทรัมป์ในรอบ 2 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง, หรืออาจจะตลอดสมัย 4 ปีของเขาคือ การประชุมสุดยอดกับประธานคิม ที่อดีตปธน.สหรัฐฯ คนไหนๆ ก็ไม่สามารถทำได้
แต่ที่เกิดประชุมสุดยอดทรัมป์-คิม ก็เกิดขึ้นได้เพราะปธน.มุน ที่ต้องรีบจัดประชุมสุดยอดกับคิมเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์หวุดหวิดที่จะต้องล้มการประชุมนั้น เมื่อมีคำพูดกวนโทสะของที่ปรึกษาความมั่นคง จอห์น โบลตัน ว่า เกาหลีเหนือจะเหมือนกับลิเบียคือ ต้องปลดอาวุธนิวเคลียร์หมดก่อน จึงจะทำให้อเมริกาเชื่อใจและพร้อมให้ความร่วมมือ เรื่องโมเดลลิเบียทำให้ผู้นำเกาหลีเหนือเกรงมากว่า สหรัฐฯ จะหักหลังเกาหลีเหนือเหมือนที่ได้ทำกับนายพันกัดดาฟี นั่นเอง
หลังประชุมสุดยอดทรัมป์-คิม ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ แม้เกาหลีเหนือจะยอมทำลายบางส่วนของฐานปล่อยจรวด และยอมส่งชิ้นส่วนทหารอเมริกันตั้งแต่สงครามเกาหลีกลับคืนมาให้สหรัฐฯ รวมทั้งการปล่อยตัวนักโทษอเมริกัน (เชื้อสายเกาหลี)
สหรัฐฯ ยังไม่ยอมผ่อนปรนการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือแม้แต่น้อย
นำมาสู่การประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ระหว่าง มุน-คิม ซึ่งทางมุนได้เดินหน้าผลักดันความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ-ใต้อย่างเต็มที่ รวมถึงการประกาศยุติสงครามเกาหลี (ภายในสิ้นปีนี้) ซึ่งโดยอัตโนมัติจะโยงไปกระทบจำนวนทหารอเมริกันประจำการที่ DMZ ถึงเกือบ 3 หมื่นคน และอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกันในดินแดนเกาหลีใต้ เช่น เรือดำน้ำนิวเคลียร์ถึง 4 ลำปฏิบัติภารกิจปักหลักอยู่ในน่านน้ำของเกาหลีใต้ และระบบป้องกันขีปนาวุธ THADD ที่มีสมรรถนะด้านสอดแนม และรุกกลับได้อย่างดี
มุนเดินหน้าเต็มลูกสูบกับเกาหลีเหนือ และได้รับแต่งตั้งจากประธานคิมให้เป็นคนกลางผู้เจรจากับทรัมป์ ก็เพื่อหว่านล้อมให้ทรัมป์ยอมโอนอ่อน เห็นด้วยกับการจัดลำดับความสำคัญที่จะขับเคลื่อนด้านสัญญาสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ก่อนจะตามมาด้วยขั้นตอนปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกัน ก็จะค่อยๆ ให้ความช่วยเหลือและการเข้าลงทุนในเกาหลีเหนือด้วย
ข้างๆ การประชุมยูเอ็นในอาทิตย์นี้ มุนจะพบสุดยอดกับทรัมป์ และด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน และเยินยอให้ทรัมป์เคลิ้มๆ ว่าตนเองสำคัญที่สุด ก็น่าจะทำให้ทรัมป์โอนอ่อนผ่อนตามได้บ้าง
ยิ่งการเลือกตั้งกลางเทอมของทรัมป์กำลังเกิดขึ้น และทรัมป์ต้องการผลงานที่เขาจะเรียกคะแนนเพิ่มขึ้นในตัวเขา และนำพา ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันกลับเข้าสู่สภาได้เต็มที่ เขาก็คงจะรีบฉกฉวยโอกาสอันนี้
แต่รางวัลโนเบลควรจะเผื่อแผ่ให้ทั้งทรัมป์และประธานคิมด้วยหรือไม่
ถ้าดูจากการลงแรงอย่างหนัก น่าจะเป็นฝีมือของปธน.มุนที่โดดเด่นสุด เพราะถ้าไม่มีเขา ทั้งประธานคิมและปธน.ทรัมป์ก็ไม่สามารถจะเดินแต้มไปสู่ผลงานที่ทั้ง 3 จะประกาศว่าเป็นชัยชนะร่วมของตนเองได้