"สมคิด " สั่งการบินไทยวางเครือข่าย จัดยุทธศาสตร์ให้ชัด ขีดเส้น 3 เดือน รื้อแผนซื้อเครื่องบินใหม่ ตั้งเป้า ติด Top 5 ของโลกภายในปี 65 ย้ำต้องมีความชัดเจนแผนซื้อเครื่องบินภายในปีนี้ "เอกนิติ-สุเมธ" ยันรื้อแผนจัดซื้อฝูงบิน 23 ลำ แสนล้านใหม่ มุ่งเพิ่มรายได้ และกำไรที่เข้มแข็ง "สุเมธ" ลั่นปี 63 หลุดพ้นปัญหา ปี 65 ต้องไม่ขาดทุน
วานนี้ ( 20 ก.ย.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานเสวนา "สานพลังพันธมิตร เพื่อไทยก้าวไกลอย่างยั่งยืน" โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง พร้อมผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ เข้าร่วมคับคั่ง อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ (บอร์ด) การบินไทยฯ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การบินไทย และ ผู้บริหารสูงสุด หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาด้วย
นายสมคิด กล่าวว่า หลังจาก คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบ แผนฟื้นฟูการบินไทยและรัฐบาล พร้อมสนับสนุนการบินไทย ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามเป้าหมายแล้ว สิ่งที่การบินไทยต้องทำ คือ สื่อสารให้ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ รับรู้ถึงทิศทาง ยุทธศาสตร์ที่การบินไทยจะขับเคลื่อน ซึ่งปัญหาขาดทุนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากมียุทธศาสตร์ชัดเจน ทำอย่างไรที่จะมีรายได้เพิ่ม แน่นอนต้องมีเครื่องบินที่ดี ดังนั้น ต้องวางแผนเส้นทางการบินใหม่ที่สอดรับ แต่เครื่องบินจะซื้อแบบไหน ต้องปรับปรุงองค์กรอย่างไร แผนเหล่านี้ ต้องชัดเจนก่อนสิ้นปีนี้ หรือภายใน 3 เดือนนี้
ด้าน นายเอกนิติ กล่าวว่า แผนฟื้นฟูของบริษัท มีเป้าหมายที่จะติดอันดับ1 ใน 5 หรือ Top 5 ของโลกภายในปี 2565 ต้องการเป็นสายการบินแห่งชาติที่ทุกคนภูมิใจ และเป็น" National Premium Airline" มีความสุดยอดด้านบริการและคงความเป็นไทย ซึ่งต้องมีความร่วมมือจากพนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ มีเครือข่ายและมีกำไรที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ ปัญหาขาดทุน เครื่องบินเก่า ค่าซ่อมบำรุงแพง จะต้องแก้ไข ซึ่งแผนการจัดซื้อเครื่องบิน 23 ลำมูลค่ากว่าแสนล้านบาทนั้น ตนเองและนายสุเมธ เพิ่งเข้ามารับหน้าที่หลังจากที่มีการเสนอแผนไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แล้ว ซึ่งมีความเห็นให้ทบทวนแผน โดยดูเครือข่ายเส้นทางการบินให้สอดคล้องซึ่งแผนใหม่อาจจะไม่ใช่ 23 ลำ และไม่ใช่แสนล้านบาทก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลา 3 เดือนปรับปรุง รวมถึงความชัดเจนของแหล่งเงินด้วย
เช่นเดียวกับ นายสุเมธ ที่กล่าวว่า การทบทวนแผนจัดซื้อเครื่องบินไม่ใช่แค่เรื่องเส้นทางการบินแต่ทุกเรื่องจะต้องวางแผนให้สอดคล้องกัน ดังนั้น 23 ลำอาจจะยังไม่ใช่คำตอบ ซึ่งหากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย รัฐบาลสนับสนุนเป้าหมาย ปี 2563 การบินไทยจะต้องหลุดพ้น ส่วนปัญหาขาดทุนจะแก้ได้ในปี 2565 และปี 2570 จะมีกำไรที่ยั่งยืน ขยายธุรกิจเป็นผู้นำในเอเชียทั้งขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ต้องบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้.
วานนี้ ( 20 ก.ย.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานเสวนา "สานพลังพันธมิตร เพื่อไทยก้าวไกลอย่างยั่งยืน" โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง พร้อมผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ เข้าร่วมคับคั่ง อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ (บอร์ด) การบินไทยฯ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การบินไทย และ ผู้บริหารสูงสุด หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาด้วย
นายสมคิด กล่าวว่า หลังจาก คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบ แผนฟื้นฟูการบินไทยและรัฐบาล พร้อมสนับสนุนการบินไทย ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามเป้าหมายแล้ว สิ่งที่การบินไทยต้องทำ คือ สื่อสารให้ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ รับรู้ถึงทิศทาง ยุทธศาสตร์ที่การบินไทยจะขับเคลื่อน ซึ่งปัญหาขาดทุนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากมียุทธศาสตร์ชัดเจน ทำอย่างไรที่จะมีรายได้เพิ่ม แน่นอนต้องมีเครื่องบินที่ดี ดังนั้น ต้องวางแผนเส้นทางการบินใหม่ที่สอดรับ แต่เครื่องบินจะซื้อแบบไหน ต้องปรับปรุงองค์กรอย่างไร แผนเหล่านี้ ต้องชัดเจนก่อนสิ้นปีนี้ หรือภายใน 3 เดือนนี้
ด้าน นายเอกนิติ กล่าวว่า แผนฟื้นฟูของบริษัท มีเป้าหมายที่จะติดอันดับ1 ใน 5 หรือ Top 5 ของโลกภายในปี 2565 ต้องการเป็นสายการบินแห่งชาติที่ทุกคนภูมิใจ และเป็น" National Premium Airline" มีความสุดยอดด้านบริการและคงความเป็นไทย ซึ่งต้องมีความร่วมมือจากพนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ มีเครือข่ายและมีกำไรที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ ปัญหาขาดทุน เครื่องบินเก่า ค่าซ่อมบำรุงแพง จะต้องแก้ไข ซึ่งแผนการจัดซื้อเครื่องบิน 23 ลำมูลค่ากว่าแสนล้านบาทนั้น ตนเองและนายสุเมธ เพิ่งเข้ามารับหน้าที่หลังจากที่มีการเสนอแผนไปที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แล้ว ซึ่งมีความเห็นให้ทบทวนแผน โดยดูเครือข่ายเส้นทางการบินให้สอดคล้องซึ่งแผนใหม่อาจจะไม่ใช่ 23 ลำ และไม่ใช่แสนล้านบาทก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลา 3 เดือนปรับปรุง รวมถึงความชัดเจนของแหล่งเงินด้วย
เช่นเดียวกับ นายสุเมธ ที่กล่าวว่า การทบทวนแผนจัดซื้อเครื่องบินไม่ใช่แค่เรื่องเส้นทางการบินแต่ทุกเรื่องจะต้องวางแผนให้สอดคล้องกัน ดังนั้น 23 ลำอาจจะยังไม่ใช่คำตอบ ซึ่งหากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย รัฐบาลสนับสนุนเป้าหมาย ปี 2563 การบินไทยจะต้องหลุดพ้น ส่วนปัญหาขาดทุนจะแก้ได้ในปี 2565 และปี 2570 จะมีกำไรที่ยั่งยืน ขยายธุรกิจเป็นผู้นำในเอเชียทั้งขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ต้องบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้.