xs
xsm
sm
md
lg

"ลุงตู่"ขอไปต่อ ชูหลักการ"พรรคเสียงมากที่สุด" ได้เป็นนายกฯ ตั้งรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

**“การเลือกตั้งอย่าไปเลือกอะไรที่เรื่อยเปื่อย วันนี้ผมไม่ได้มาหาเสียงทางการเมือง แต่มาพบกับประชาชนอย่าให้ใครมาว่าผมมาหาเสียง ผมมาในฐานะนายกรัฐมนตรี และในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทุกคนต้องรู้ก่อนว่า นายกรัฐมนตรี จะมาจากตรงไหน ซึ่งจะมาจากพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและตั้งนายกรัฐมนตรี เป็นหลักการที่ทุกคนต้องรู้ ผมไม่ได้พูดถึงตัวเอง แต่ทุกพรรคจะต้องเสนอคนที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน”
คำพูดดังกล่าวของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระหว่างการพบปะพูดคุยกับพี่น้องจังหวัดเพชรบูรณ์ ขณะปฏิบัติภารกิจประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่นั่น เมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา และยังถือว่า เป็นท่าทีล่าสุดของเขาก็ว่าได้
ขณะเดียวกัน จากคำพูดข้างต้นมันก็เหมือนกับการเผยให้เห็นถึงเส้นทางหรืออนาคตทางการเมืองข้างหน้าว่าเขาจะเลือกเดินไปด้วยวิธีไหน แน่นอนว่ามีการพูดถึง คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะต้องได้รับการ "เสนอชื่อ" จากพรรคการเมือง ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และประการที่สอง ที่ต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กันก็คือ "เสียงข้างมาก" หรือเสียงมากที่สุด สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี คนต่อไป
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดตามกติกาในรัฐธรรมนูญที่ให้พรรคการเมืองรวบรวมเสียง ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.ได้ให้เกินกึ่งหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมด 750 คน (ส.ส.500+ส.ว.250) นั่นคือ 375 เสียง สำหรับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในสภา และในความหมายเดียวกันนี้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.ในสภามาเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากไม่สามารถรวบรวม "เสียงได้มากที่สุด" ก็ต้อง "กินแห้ว" ไป
ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาแบบนี้ รวมไปถึงระบบการเลือกตั้งที่เรียกว่า "การจัดสรรปันส่วนผสม" ที่ทุกคะแนนโหวตของทุกพรรคการเมือง มีความหมายถูกนำมานับรวมในภายหลัง ทำให้มีการคาดหมายไว้ล่วงหน้าว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดจะชนะได้เสียงมากถล่มทลายมีเสียงเด็ดขาดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ต้องออกมาในลักษณะ รัฐบาลผสม
**จนเวลานี้แบ่งออกเป็นสองขั้วล่วงหน้าแล้วคือ ฝ่ายที่ "เอาประยุทธ์" กับอีกฝ่ายที่ "ไม่เอาประยุทธ์" ซึ่งนาทีนี้ ฝ่ายแรกน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แม้ว่าฝ่ายหลังที่มีพรรคเพื่อไทย ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นแกนที่เชื่อว่าจะชนะได้เสียง ส.ส.มากที่สุด จะพยายามอ้างความชอบธรรม อ้างเจตนารมณ์ของชาวบ้าน แต่ตราบใดที่ต้องรวบรวมเสียงให้ได้มากที่สุด และยังมี "พลังแฝง" กดดันจากภายนอก มันทำให้เกิดความหมายที่ว่า "ชนะแต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล" นั่นแหละ
วกกลับมาที่ท่าทีของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ล่าสุดพยายามตอกย้ำให้เห็นแล้วว่า "พรรคที่ได้เสียงมากที่สุด" ได้จัดตั้งรัฐบาล ได้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นไปตามกติกา แต่สำหรับเขาแล้ว ยังแย้มให้เห็นอีกว่า เขาจะยอมรับการเสนอชื่อจากบางพรรคการเมืองให้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะคาดหมายว่า น่าจะเป็นพรรค "พลังประชารัฐ" แต่เมื่อยังไม่เปิดเผยออกมา ก็ยังไม่จำเป็นระบุไปก่อนก็ได้
แต่เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหว และลีลาท่าทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าชัดเจน ว่านี่คือการแสดงท่าที และเจตนารมย์ต้องการ "ไปต่อ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งในลักษณะ "คนใน" นั่นคือได้รับการเสนอชื่อและโหวตสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา
**ดังนั้นหากกล่าวกันว่า การลงพื้นที่ทั้งในจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์ระหว่างมาตรวจราชการ และประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งล่าสุด เหมือนกับการเปิดตัว หยั่งท่าทีกันกลายๆ แต่ชัดเจนมากที่สุดว่า เอาแน่ ในแบบยอมรับการเสนอชื่อจากบางพรรคให้เป็นนายกรัฐมนตรี และรวบรวมเสียงให้ได้มากที่สุด เพื่อจัดตั้งรัฐบาล !!


กำลังโหลดความคิดเห็น