xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ขุมทรัพย์หมื่นล้าน!! เปิดลายแทง “แก๊งหากิน”กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่ “บิ๊ก ท.”ผู้บริหาร สนพ. กับเพื่อนซี้ “ดร.ช.”ที่ถูกดึงมาเป็นกุนซือ คนสำคัญ ขรก.หญิงระดับ “ผอ.”ชื่อย่อ “นางสาว ช.”ที่รวยไม่รู้เรื่อง หลังรับผิดชอบโครงการ “โซลาร์ฟาร์ม”ยุคบุกเบิก ทำ “กลุ่มทุน”รวยกันอื้อซ่า แล้วยังมี “รองอธิบดี ว.”ที่ดูแล “พลังงานทดแทน” เกาะกลุ่มเป็นเครือข่ายหาประโยชน์กองทุนฯ ที่มาวันนี้ทำ “รมต.ศิริ”เก้าอี้ร้อนไปด้วย

ว่ากันต่อ .. ปมร้อน “กองทุนอนุรักษ์พลังงาน” ที่แม้ “ดร.โจ๊ะ”ทวารัฐ สูตะบุตร ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน และในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ จะออกมาการันตีว่า “โปร่งใส ตรวจสอบได้”แล้วก็ตาม .. แต่มูฟเมนต์ของฝ่ายรัฐเอง ก็สอดรับกับกระแสข่าว “ความไม่ชอบมาพากล” ที่เกิดขึ้น .. ล่าสุดข่าวว่า จะมีการเสนอเลื่อนระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติโครงการสำหรับงบประมาณ ปี 2561 (เพิ่มเติม) ภายใต้กลุ่ม "โครงการไทยนิยมยั่งยืน" วงเงิน 5,200 ล้านบาท และ งบประมาณกองทุนฯ ปี 2562 วงเงินประมาณ 10,448 ล้านบาท ออกไปก่อน .. โดยจะเสนอวาระ “เลื่อน” เข้าที่ประชุมบอร์ดกองทุนฯ ที่มี “บิ๊กจิน” พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ นั่งเป็นหัวโต๊ะในวันที่ 6 ก.ย.นี้ .. สาเหตุก็มาจาก “ข้อร้องเรียน” ให้ตรวจสอบความไม่โปร่งใส การดำเนินงาน ของ “คณะอนุกรรมการ” ที่กำลังถูก “ลากไส้” อย่างหนักในช่วงนี้ .. ตามคิวที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เตรียมขยับเข้าไปตรวจสอบ “ความไม่โปร่งใส” ในการอนุมัติเงินกองทุนฯ .. แล้วยังกระทบชิ่งไปถึงการจัดแผง “บิ๊กข้าราชการ” ของกระทรวงพลังงาน อีกด้วย หลังจากก่อนหน้านี้ “เดอะกบ” กุลิศ สมบัติศิริ ข้ามห้วยมานั่งปลัดกระทรวงพลังงาน ไปแล้ว ..
ที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วก็รายของ “ดร.โจ๊ะ-ทวารัฐ” ที่กำลังรับศึกหนักจากการเปิดโปง “ขบวนการเสือนอนกิน” ที่หารับประทานอยู่ใน “กองทุนอนุรักษ์พลังงาน” จากที่เคยเป็น “แคนดิเดตปลัด” จนเก้าอี้ร้อน ต้องระเห็จไปเข้ากรุ “ผู้ตรวจ” ในเร็ววันนี้ .. เรื่องของเรื่องก็เพราะมีการปล่อยให้ “คนกลุ่มหนึ่ง” วางตัวเป็น “เครือข่ายอำนาจ” สร้างกลไกการอนุมัติเงินกองทุนฯให้กับหน่วยงาน-องค์กรต่างๆไว้อย่างเบ็ดเสร็จ .. จนเงินในกองทุนฯถูก “เวียนเทียน” ให้กับ “กลุ่มบริษัท” ที่มีคอนเนกชันอันดีกับ “บิ๊กกองทุน” อีกทั้งยังมี “อดีตคน สนพ.” ที่ล่วงรู้ “ลายแทง” การแสวงหาผลประโยชน์เป็นอย่างดี ไปเปิด “บริษัท” .. แล้วทาง “กองทุนฯ”ไปจ้างมาเป็นที่ปรึกษาด้วยวิธีพิเศษ ทำหน้าที่คัดกรองโครงการให้กับ “อนุกรรมการ” จนได้รับเงินจากกองทุนฯ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน .. โดยใครอยากรับเงินกองทุนฯ ก็จะต้องวิ่งให้ถูกทาง พร้อมกับข้อเสนอ “ค่าดำเนินการ” ที่รู้กันในวงการว่า “100 ชักออก 20” .. ความมาแดง ก็ด้วย “คนกลุ่มนี้” ชักมันมือ อัพ “ค่าดำเนินการ” สูงขึ้น พร้อมแอบอ้างว่า “ฝ่ายการเมือง” ต้องระดมทุน ตุนเป็น “เสบียงกรัง” เตรียมลงสนามเลือกตั้ง จนความยิงตรงไปถึง “ตึกไทยคู่ฟ้า” .. ซึ่ง “บิ๊กเนม” ที่อยู่ในข่ายร้อนๆ หนาวๆ ก็ไล่เรียงตั้งแต่ “บิ๊ก ท.” ผู้บริหารใน สนพ. เรื่อยไปถึง “ดร.ช.” เพื่อนซี้ที่ถูกดึงมาเป็นที่ปรึกษา ที่แม้ไม่ได้ข้าราชการแต่เห็นว่า มีอำนาจสั่งการคนในสำนักงานฯได้ทุกเรื่อง .. อีกรายเป็นข้าราชการหญิง ระดับ “ผอ.” ชื่อย่อ “นางสาว ช.” ที่ดูเรื่องนี้มาตั้งแต่พ้น ซี 5 ใหม่ๆ จับผลัดจับผลูไปรับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับ “โซลาร์ฟาร์ม”ยุคบุกเบิก ที่ทำให้ “กลุ่มทุน” รวยกันอื้อซ่า .. ส่วนตัว “นางสาว ช.” ก็ได้รับการยกให้เป็น “เจ้าแม่เงินกองทุนฯ” ร่ำรวยเกินหน้าคนในสำนักงานฯ ถึงขนาดมีคอนโดฯ สุดหรูอยู่ย่านทองหล่อเลยทีเดียว แต่พอถูกจับจ้องก็ขายทิ้ง หอบเงินไปซื้อที่อื่นอยู่ .. แล้วยังมีผู้บริหารระดับ “รองอธิบดี ว.” ที่เป็น “ฟันเฟือง” สำคัญอยู่ในขบวนการนี้ด้วย ตามเนื้องานที่ดูแล “พลังงานทดแทน” ที่เป็นโครงการยอดฮิตที่มีหารเสนอเข้ามาขอเงินจากกองทุนฯอีกด้วย .. ที่นั่งไม่ติดอีกคนก็ ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ที่แม้เพิ่ง “มาใหม่” แต่ก็เป็นประธานคณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานบริหารกองทุนฯ โดยตำแหน่ง แล้วยังปล่อยให้กลุ่มคาวฉาวโฉ่ลอยไปถึง “ตึกไทยคู่ฟ้า” อีกต่างหาก.

**เขาเป็นใครหน๊อ !? เช็กให้วุ่น “บิ๊กสื่อ”ถูกอายัดบัญชีพร้อมพวกรวม 200 ล้านบาท อดสงสัยไม่ได้ นักข่าวหน้าไหนร่ำรวยขนาดนั้น ก็ระดับปรมจารย์ผู้ยึดมั่นอุดมการณ์ ชอบกะเกณฑ์ “จรรยาบรรณวิชาชีพ”นั่นประไร ที่ผันตัวไปเป็นผู้บริหารทีวีดิจิทัล ที่เพิ่งพังพาบพ่ายแพ่ในเกม “ตลาดทุน”จนถูกไล่เบี้ยเช็ก “ขยะที่ซุกใต้พรม”สุดท้ายพฤติกรรมเข้าข่าย คอร์รัปชัน ใช้เงินซื้อคอนเทนต์ แพงเกินจริง จนบริษัทขาดทุนร่วม 2 พันล้าน

ไถ่ถามกันมามากเหลือเกิน .. สำหรับเสียงร่ำลือใน “แวดวงสื่อมวลชน”ที่ระบุว่า “นักข่าวรุ่นเก๋า” กับพวก ถูกอายัดบัญชี เป็นเงินรวมกันกว่า 200 ล้านบาท .. ที่สงสัยกันมาก ก็นักข่าวหน้าไหน ถึงร่ำรวยมีทรัพย์สินมากมายก่ายกองขนาดนั้น ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่ระดับนักข่าวธรรมดา .. เป็นระดับ “บิ๊กสื่อ”ปรมจารย์ผู้เป็นตำนาน ยึดมั่นอุดมการณ์ ชอบกะเกณฑ์ “จรรยาบรรณวิชาชีพ”อยู่บ่อยๆ นั่นแหละ .. เป็น “บิ๊กสื่อ”ที่ระยะหลังน่าจะเอียงๆไปทาง “นักธุรกิจ”เก่งเรื่องระดมทุน จนเข้าไปคว้า “ทีวีดิจิทัล”มาบริหารเล่นๆ ตั้ง 2 ช่อง แต่ปัจจุบันกลายเป็น “อดีต”ไปแล้ว .. เพราะแม้จะเก๋าเกมด้านสื่อสารมวลชน แต่ดันไปพังพาบพ่ายแพ้ในเกม “ตลาดทุน” .. พลันที่อาณาจักรที่ตัวเองสร้างขึ้นเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น “ทีมผู้บริหารใหม่”ก็ประกาศจะไล่เบี้ยแก้ไขปัญหาที่ค้างคาในอดีต .. เพราะ “เบื้องต้น”มีการจากตรวจสอบงบการเงินในแต่ละปี “มีความผิดปกติ” หลายรายการ “ไม่มีจริง” กับตัวเลขขาดทุนถึงกว่า 2 พันล้านบาท .. ก่อนที่ “โป๊ะเชะ” หลังไล่เส้นทางการเงินของบริษัทแล้วพบว่า “ผู้บริหารชุดเก่า”นำเงินซื้อคอนเทนต์ “ซีรีส์-สารคดี” จากต่างประเทศ ในราคาที่ “แพงเกินจริง” ..ที่สำคัญมีลายเซ็นของ “นักข่าวรุ่นใหญ่”ในฐานะผู้บริหารสูงสุด เซ็นกำกับทุกรายการ ที่ไล่เบี้ยกันได้ในขณะนี้ก็ราวๆ 200 ล้านบาท ที่หลุดไปเข้ากระเป๋า “ตัวเองและพวกพ้อง” ..พฤติการณ์ไม่ต่างจากการคอร์รัปชันในแวดวงราชการ ที่เจ้าตัวทำหน้าที่วิพากษ์จารณ์ ดุเดือดสมัยเป็น “สื่อคนดัง”เลย .. แล้วก็ยังมีที่ยังตามล้างตามเช็ดไม่หมด อันเป็นที่มาของตัวเลขขาดทุนถึงกว่า 2 พันล้านบาท ก่อนทิ้งอาณาจักรของตัวเองไป .. กลายเป็นว่า ที่เจ้าตัวเคยเที่ยวไปฟันธงว่า “สื่อกำลังล่มสลาย-วิชาชีพจะสูญพันธุ์”หากไม่ปรับตัวใน 3 ปี 5 ปี แต่บริษัทตัวเองทำท่าจะเจ๊งก่อนใครเพื่อน หาใช่เรื่องกระแสเทคโนโลยี หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มาจากเหลือบไรโกงกินกันภายในนี่เอง.

** หวานคอแร้ง!! “กรมขนส่ง”ชงแก้ กม.จัดระเบียบใบขับขี่ อัดยาแรง “ไม่มีใบขับขี่”ปรับ 5 หมื่น “ไม่พก”ปรับ 1 หมื่น อ้าง “ช่วยลดอุบัติเหตุ”ฝ่าย “ตำรวจ”เด้งรับ ชี้ไม่มีขับขี่ขับรถเป็นอันตราย แจงอัตราโทษ 5 หมื่น-1 หมื่น แค่ “สูงสุด” ปรับเท่าไรอยู่ที่ “ดุลพินิจ”วิจารณ์สนั่น แก้กฎหมายไม่ดู “ความเป็นจริง” ตั้งแง่ “ข้ออ้าง”เปิดช่องให้มีการ “กรรโชกทรัพย์”มากขึ้นหรือเปล่า

วิจารณ์สนั่น .. ตามคิวที่ “กรมการขนส่งทางบก” เตรียมเสนอแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ขนส่งทางบกฯ สาระสำคัญคือการ “จัดระเบียบใบขับขี่” .. กำหนดให้การต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ ต้องผ่านการอบรมทุกครั้ง ขณะที่ผู้สูงอายุต้องตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความสามารถในการขับขี่ .. ประเด็นสำคัญอยู่ที่การงัด “ยาแรง”เพิ่มโทษกับผู้ขับขี่รถที่ “ไม่มีใบขับขี่”จำคุก 3 เดือน และปรับไม่เกิน 50,000 บาท .. ส่วนคนที่มี แต่ไม่ได้พก ในทุกกรณี หรือใบขับขี่หมดอายุ จะถูกปรับสูงสุด 1 หมื่นบาท .. โดยมีการ “ให้เหตุผล”ว่า การปรับเพิ่มบทลงโทษกรณีผู้ขับขี่กระทำผิด เพื่อให้ผู้ขับขี่ตระหนักและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด .. และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติเหตุ และความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน .. ในขณะที่ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย” อย่าง “ตำรวจ” ก็ออกมาเห็นดีเห็นงามด้วย โดย “ผู้การเอก” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ในฐานะคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจราจร ของ สตช. ระบุว่า “เห็นด้วย” .. เนื่องจากการปล่อยให้ “ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่” ขับรถบนเส้นทางสาธารณะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงมาก .. ก่อนชี้แจงถึงประเด็น “ยาแรง”ว่าการถูกเปรียบเทียบปรับ 5 หมื่นบาท หรือ 1 หมื่นบาทในกรณีไม่พกใบขับขี่นั้น เป็น เพียง “อัตราโทษปรับสูงสุด” .. ความเป็นจริงจะขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ของ “พนักงานสอบสวน” สำหรับกรณี “ไม่พกใบขับขี่” ..
ส่วนกรณี “ไม่มีใบขับขี่” การเปรียบเทียบปรับจะขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ของ “ศาล” ว่าเท่าไร .. เรื่องนี้หากมอง “หลักการ” ก็ต้องบอกว่า การเพิ่มอัตราโทษ ก็เป็นทางหนึ่งให้คนเกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่กล้าที่จะกระทำผิด .. แต่ถามว่า “ในความเป็นจริง” การเพิ่มโทษ ในกรณีนี้คือการไม่พก หรือไม่มีใบขับขี่ นั้นจะได้ผลอย่าง “เหตุผล”ที่ว่าไว้จริงหรือ .. เพราะหากกฎหมายที่กำลังแก้ไขอยู่นี้ มีผลบังคับใช้จริง สิ่งที่ห่วงกันมากที่สุดคือ อาจจะกลายเป็น “ข้ออ้าง”เปิดช่องให้มีการ “กรรโชกทรัพย์” มากขึ้นหรือไม่ .. เพราะอย่างที่รู้กัน ทุกวันนี้ที่ทำให้คนไม่กลัวกฎหมาย หรือไม่กลัวถูกจับปรับ ก็เพราะเมื่อกระทำผิด โดยเฉพาะเรื่องจราจร ก็มักจะ “ต่อรองได้” .. อีกทั้ง “ค่าเปรียบเทียบปรับ” ก็มักตกหล่น ระหว่างทาง เพราะโลกแห่งความจริง การเปรียบเทียบปรับ มักไม่ถึง “ดุลพินิจ” ของ “พนักงานสอบสวน” หรือ “ศาล” แต่เป็น “ดุลพินิจ” ของ “เจ้าหน้าที่หน้างาน” มากกว่า .. ยิ่งแว่วๆว่า จะยกเลิกส่วนแบ่งค่าปรับให้กับตำรวจจราจร แต่ในทางกลับกันมาเพิ่มโทษปรับแบบนี้ คราวนี้จับปรับใครจะเอาเข้าระบบ ก็ “หวานคอแร้ง” สิครับเจ้านาย

** แซะมาแซะกลับ!! “พี่ตู่”ต่อความยาว “พ่อปู – แม่ปู”เดินเลี้ยวเลี้ยวมา เขี่ยลูกให้ “น้องปู”เดินเกมยั่วประสาทต่อเนื่อง ยอกย้อนทันควันโพสต์ภาพสะพายกระเป๋า “ปูดำ”แบรนด์ดัง ใบละ 1.6 แสนบาท แคปชั่นเหน็บ “ปูของแท้ค่ะ”ก่อนที่ “หลานโอ๊ค”มารับลูกต่อ ด้วยคอมเมนต์ ว่า “ตัวผู้ตัวเมียครับ ?”

“ผมไม่สนใจ ถ้าสนใจทุกเรื่องก็ตายหมดแหละ” .. คำตอบของ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกรณีที่ถูก “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทวิตเตอร์ถามว่า “ยังจำชื่อกันได้อีกหรือ” .. หลัง “พี่ตู่” ไปปากไว แซวเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งในช่วง ครม.สัญจร ชุมพร-ระนอง ที่ดันชื่อ “ยิ่งลักษณ์”เข้าให้ .. เหมือนไปเขี่ยลูกไปเข้าทาง “คุณหนูปู” ที่สวนทันควันว่า “อดีต ผบ.ทบ.” ยังจำชื่อนี้ได้อยู่เหรอคะ .. ต่อเนื่องด้วย “เกมยั่วประสาท” ทั้ง “หลานโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายทักษิณ ชินวัตร ที่มารับลูกมาขยายความชื่อตำแหน่ง “อดีต ผบ.ทบ.” .. ไม่เท่านั้น ยังมีการใช้แฟนเพจ “Yingluck Shinawatra Forever” ผุดกิจกรรม “ยิ่งลักษณ์ที่ฉันคิดถึง”ชิงรางวัลของขวัญพร้อมลายเซ็นจาก “แดนไกล” ..
แต่ที่มันยังไม่จบก็ “พี่ตู่”ต่อความยาวสาวความยืดอีก ช่วงไปทัวร์ “ธนาคารปู”ที่ จ.ชุมพร ระหว่างปล่อยลูกปูม้า 10 ล้านตัว ลงทะเล .. ยังหันไปหยอกล้อกับเด็กๆ ในชุมชนว่า “กินปูกันหรือไม่ เบื่อปูกันหรือยัง กินกันบ่อยแล้วสิ แสดงว่าเบื่อปูกันแล้ว ใช่ไหม” .. แล้วยังมาย้ำกับสื่อที่ตามไปด้วยว่า “ผมก็เปรียบเหมือนพ่อปู ขอให้เดินตามพ่อปูต่อไป เพราะการเดินตามแม่ปู มันจะเลี้ยวไป เลี้ยวมานะ” .. นอกจากจะเจอ “ลิ่วล้อระบอบแม้ว”ล้อเลียนว่า “พ่อปู – แม่ปู” มันก็เดินเหมือนกันแหละครับท่านนายกฯ แล้ว .. ยังเหมือนต่อบทให้ “สาวปู”ยอกย้อนกลับมาอีก คราวนี้เปลี่ยนไปใช้อินสตาแกรมโพสต์ภาพ ขณะสะพายกระเป๋า ที่เป็นรูป “ปูสีดำ”โดยระบุข้อความประกอบว่า “ปูของแท้ค่ะ” .. เป็นกระเป๋ารูปปู ยี่ห้อ Thom Browne สนนราคาราว 5 พันดอลล่าร์สหรัฐฯ ตีเป็นเงินไทยจิ๊บๆ แค่ 1.6 แสนบาทเศษ .. แล้วก็เหมือนเดิม “หลานโอ๊ค”มารับลูกต่อด้วยคอมเมนต์ว่า “วัยรุ่นจังเลย ใช้ทอมบราว กระเป๋านั้นตัวผู้ ตัวเมีย ครับ ?” .. จนดูท่าว่า “เกมยั่วประสาท”เกมนี้คงไม่จบง่ายๆ.

ช.ชฎา

++++++++++++
รูป
, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง - ทวารัฐ สูตะบุตร- ศิริ จิระพงษ์พันธ์

- พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ

- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร --พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


กำลังโหลดความคิดเห็น