xs
xsm
sm
md
lg

อย่างนี้สิ-ขิงแก่

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน กับ มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย</b>
นับเป็นการเดินทางที่น่าทึ่ง และสมฉายาขิงแก่ผู้มีประสบการณ์ครบครัน ที่ตัดสินใจไปเหยียบถ้ำเสืออภิมหาอำนาจแห่งภูมิภาคเอเชีย และซึ่งกำลังยืนตระหง่านพร้อมโค่นอเมริกาจากมหาอำนาจเดี่ยวในอีกไม่นานเกินรอ

นั่นคือ การเดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการของดร.เอ็ม ผู้นำแห่งมาเลเซีย ที่นับเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่มีอายุสูงที่สุดในโลกขณะนี้ และพำนักอยู่ที่จีนถึง 5 วันเพื่อดำเนินภารกิจชักชวนมาลงทุนเช่น พบกับผู้นำด้านธุรกิจของจีนอย่างแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา และบริษัทรถยนต์ของจีน Geely ที่เพิ่งเข้ามาถือหุ้น 49.90% ในบริษัทรถยนต์แห่งชาติ Proton ของมาเลเซีย

ประเทศจีนน่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ดร.เอ็มจะไปเยือน แต่เขากลับไปเยือนญี่ปุ่นตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง (รอบสอง) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน (เข้ามาเป็นนายกฯ เมื่อ 10 พฤษภาคม)

ทั้งนี้ การไปเยือนญี่ปุ่นก่อนจีน ดร.เอ็มมีคำอธิบายว่า เพราะได้ตกลงตารางการเดินทางไว้ตั้งแต่ก่อนวันลงคะแนน 9 พฤษภาคมด้วยซ้ำ ขณะนั้นเขากำลังหาเสียงอย่างเข้มข้น เพราะการเดินทางไปต่างประเทศสำหรับผู้นำฝ่ายค้าน (ของนายกฯ นาจิบ) ก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับฝ่ายค้าน และเป็นการไปร่วมการสัมมนาประจำปีที่จัดโดยนสพ.อาซาฮี ซึ่งเขาไม่เคยขาดการเข้าร่วมเลย

จริงๆ ย้อนหลังไปปี 1981 เมื่อ 37 ปีที่แล้ว เมื่อดร.เอ็มเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ (ครั้งแรก) เขาได้ประกาศนโยบาย “Look East” ที่ญี่ปุ่น คือ มาเลเซียจะหันไปมอง (ศึกษาและเอาอย่างสิ่งที่ดีๆ) ประเทศทางตะวันออก แทนที่จะเป็น Look West คือ ตามอย่างตะวันตกแบบไม่ลืมหูลืมตาของเหล่าประเทศในเอเชียตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โน่น

ในบริบทของนโยบาย “มองตะวันออก” ของดร.เอ็ม หมายถึงการดูตัวอย่างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งนับเป็นความมหัศจรรย์ที่สร้างเศรษฐกิจได้ ก็ด้วยคุณลักษณะเด่น 10 อย่างเช่น ความเอาจริงเอาจังในการทำงาน (ต่างกับคนมาเลเซีย...และอาจหมายถึงคนไทยส่วนใหญ่... ที่ชอบทำงานเป็นเล่นสนุกปนกัน...จนมีบางคนมองว่า คนมาเลย์นั้นออกจะขี้เกียจ ไม่ชอบทำงานหนัก)

ยังมีลักษณะอื่นๆ เช่น รักความสะอาด, เป็นระเบียบแบบแผน, ซื่อสัตย์ (กระเป๋าสตางค์ที่ลืมวางไว้ที่ญี่ปุ่น จะมีคนเก็บรักษาไว้ให้เจ้าของ!!!) การตรงต่อเวลา, ความทุ่มเททำงานไปสู่ความเป็นเลิศ, การค้นคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ, ลงในรายละเอียดและรอบคอบ เป็นต้น ซึ่งดร.เอ็มได้แถลงอีกครั้งว่า นโยบายมองตะวันออกยังใช้อยู่อย่างเข้มข้น

แต่การเดินทางไปญี่ปุ่นก่อนจีนครั้งนี้ ถูกถอดรหัสจากนักวิเคราะห์ว่า เป็นการส่งสัญญาณให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในมาเลเซีย เพื่อถ่วงดุลกับบรรดาสัมปทานโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิบๆ โครงการที่รัฐบาลนาจิบได้หยิบยื่นให้กับบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจของจีน ด้วยข้อกล่าวหาหนาหูว่า การพิจารณาอนุมัติโครงการของรัฐบาลนาจิบ (ซึ่งนั่งเป็นรมต.คลัง และประธานกองทุนความมั่งคั่ง 1MDB ที่ฉาวโฉ่) ไม่มีความโปร่งใส ด้วยนาจิบกำลังถูกชาวมาเลย์-และฝ่ายค้านตั้งคำถามว่า ทำไมบริษัทจีนจึงได้ชนะการประมูลโดยจีนจะเป็นผู้ปล่อยกู้ (ด้วยดอกเบี้ยสูงมาก) ให้แก่โครงการเหล่านั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟเลียบชายฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ One Belt, One Road ของจีน และท่อส่งน้ำมัน 2 ท่อยักษ์ เป็นต้น โดยหวังเอาเงินจีนมากลบการขาดทุนของกองทุน 1MDB

นี่เป็นความรอบคอบของขิงแก่ เพราะได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อสถานทูตจีน เพื่อแจ้งถึงการเดินทางไปญี่ปุ่นให้จีนทราบว่า เป็นกำหนดการก่อนเลือกตั้ง

ก่อนเดินทางไปจีน เขาเปิดให้สถานี CNN มาสัมภาษณ์ 1 ชม. และเขาเปิดใจว่า การมีเพื่อนบ้านเป็นมหาอำนาจอย่างจีนนั้น เขาไม่บังอาจไปขัดขวางการดำเนินงานของจีน เพราะมาเลเซียเล็กกว่ามาก แต่เขาพร้อมจะร่วมมือในการทำงานกับเพื่อนบ้านผู้มั่งคั่ง และเป็นมหาอำนาจที่กำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้

ที่ปักกิ่ง เขาได้พบทั้งกับปธน.สี จิ้นผิง นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง และได้ขอร้องให้จีนเห็นใจและเข้าใจปัญหาหนี้สินของประเทศมาเลเซีย (ซึ่งสร้างขึ้นมากมายสมัยนาจิบ) จึงจำเป็นต้องประหยัด (ขนาดลดเงินเดือน ครม.ลง 10% และลดขนาดของ ครม.ด้วย) และเมื่อประหยัด ก็ต้องตัดทิ้งโครงการที่ยังไม่จำเป็นด่วนออกไปก่อน หรืออาจเจรจาให้โครงการที่จีนได้สัมปทานไป ควรมีการลดดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น หรือลดขนาดโครงการลงบ้าง

ที่สำคัญคือ เขาไปให้สัมภาษณ์ที่ปักกิ่งว่า การที่มาเลเซียเป็นประเทศเล็กกว่าจีน แล้วไปทำสัญญาต่างๆ กับจีนที่ใหญ่กว่ามาก ประเทศเล็กก็มักเสียเปรียบเป็นธรรมดา โดยเขานำเอาบทเรียนสมัยจีนถูกบังคับข่มขู่ในการทำสัญญาไม่เป็นธรรมต่างๆ กับอังกฤษ หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ที่จีนได้ลิ้มรสของความขมขื่น วันนี้ เขาขอความเห็นใจจากจีน ว่า หลายโครงการที่ลงนามอนุมัติในสมัยนาจิบ-จำเป็นต้องยกเลิกในตอนนี้ เพราะมันแพงเกินไป มาเลเซียยังไม่รวยพอที่จะมีโครงการเหล่านี้ เพราะตอนนี้เป็นยุคต้องประหยัดจริงๆ

เขายังตอกย้ำอีกว่า การที่ประเทศมหาอำนาจ (หมายถึงจีน) ผู้มั่งคั่ง ได้ปล่อยกู้ให้กับประเทศยากจนกว่า (แบบมาเลเซีย), ในที่สุด ผู้ปล่อยกู้ก็รู้ดีว่า โครงการเหล่านั้นก็ต้องหลุดจากมือของผู้กู้ กลายเป็นของผู้ปล่อยกู้โดยสมบูรณ์!!! เพราะผู้กู้-ลงทุนเกินตัวและบริหารไม่ไหวนั่นเอง!

เป็นทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตน และรู้เท่าทันของขิงแก่ ที่หาทางต่อรองเพื่อทำงานร่วมกับมหาอำนาจ (ใหม่-อย่างจีน) อย่างราบรื่น และเท่าเทียมกัน มากกว่าในฐานะเจ้าหนี้และลูกหนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น