xs
xsm
sm
md
lg

ต้องหันไปขอบคุณ...ทรัมป์บ้า!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นาย Taro Kono รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปชมซากุระ อะริกะโตะ บันไซ แถวๆ ประเทศยุ่นปี่ ญี่ปุ่นกันดูซักหน่อย เพราะช่วงหลังๆ มานี้ ข่าวคราวการ “เทขาย” พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของคุณพี่ยุ่นนั้น เล่นเอาใครต่อใครฮือฮา หยิบมาเม้าท์ เอามาโม้ มาแปลความ ตีความกันเป็นจำนวนไม่น้อย คือตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเขาเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ไปแล้วถึง 82,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ของพันธบัตรที่ตัวเองเคยถือครองอยู่ โดยเฉพาะช่วงมิถุนายนที่ผ่านมา เดือนเดียวเท่านั้น...เทขายไปถึง 18,400 ล้านดอลลาร์ จนทำให้เหลือพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ถือครองเอาไว้เพียงแค่ 1.03 ล้านล้านดอลลาร์ หล่นมาเป็น “เจ้าหนี้อันดับสอง” ของรัฐบาลอเมริกา ปล่อยให้คุณพี่จีนครองตำแหน่ง “เจ้าหนี้อันดับหนึ่ง” กันไปแทนที่...

แม้ว่าจำนวนที่เทขายออกจะเป็นจำนวนน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ญี่ปุ่นถือครองเอาไว้ทั้งหมด แต่ก็อาจนำไปสะท้อนอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง เพราะบรรดาประเทศที่ออกมาเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการนั้น ส่วนใหญ่...มักหนักไปทาง “ประเทศคู่กัด” ของคุณพ่ออเมริกาด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะคุณน้ารัสเซียที่เทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไปแล้วถึง 84 เปอร์เซ็นต์ ถือเอาไว้ดูเล่นเพียงแค่ 14,900 ล้านดอลลาร์ คุณพี่จีนแม้ว่าจะเป็น “เจ้าหนี้” รายใหญ่สุด แต่ก็เทขายไปแล้วกว่า 138,000 ล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับไก่งวงตุรกี ที่ขนเอาพันธบัตรและตั๋วเงินสหรัฐฯ ออกมาเทขายในเดือนพฤษภาคมถึง 32,600 ล้านดอลลาร์ เดือนมิถุนายนตามมาอีก 28,800 ล้านดอลลาร์ จนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ยังถือเอาไว้ดูเล่น ลดลงมาเหลือแค่ 42 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยถือครองเอาไว้ก่อนหน้านั้น...ฯลฯ ฯลฯ

แต่ก็ไม่มีใครที่น่าคิด น่าสะกิดใจเท่ากับยุ่นปี่ หรือญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงแต่ถือเป็นอภิมหามิตรของคุณพ่ออเมริกาในย่านเอเชียเท่านั้น แต่ยังอาจถือเป็น “คู่กัด” หรือ “คู่แข่ง” กับคุณพี่จีนมาโดยตลอด เป็นตัว “เตะตัดขา” เป็นตัวช่วย “ปิดล้อม” มหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างคุณพี่จีน อย่างชนิดเป็นระบบและเป็นกระบวนการ แต่จู่ๆ ก็กลับหันมาเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เอาดื้อๆ!!! ทั้งๆ ที่คุณพ่ออเมริกาในช่วงระยะนี้ กำลังดิ้นรนกระวนกระวายอยากให้ใครต่อใครหันมาซื้อพันธบัตรของตัวเองเอาไว้ให้เยอะๆ เนื่องจากจำต้องหาเงินมาอุด “การขาดดุลงบประมาณ” ชนิดต้องออกพันธบัตรมาเร่ขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 9 เท่า หรือประมาณ 443,700 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าช่วงระยะเดียวกันของเมื่อ 2 ปีที่แล้วถึง 139 เปอร์เซ็นต์...

ลักษณะอาการที่ออกไปทาง “เปี๋ยนไป๋” ของคุณพี่ยุ่นเช่นนี้นี่เอง...จึงถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปตีความ แปลความกันเยอะแยะมากมาย และส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สรุปไปในแนวเดียวกัน ประมาณว่า ต้นสายปลายเหตุแห่งการเปลี่ยนไปของญี่ปุ่น ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง คือเมื่อต้องเจอกับ “ลูกบ้า” ชนิดดอกแล้ว-ดอกเล่า และชนิดไม่สนใจว่าใครมิตร ใครศัตรู ขอเพียง “หน้าไม่เหมือนพ่อ” หรือไม่ใช่ “อเมริกา” ที่ต้องมาก่อนเท่านั้น ก็มีสิทธิ์โดนเตะ โดนถีบได้อย่างไม่มีบันยะบันยัง ไล่มาตั้งแต่การถอนตัวของอเมริกาออกจากข้อตกลง “TPP” หรือ “Trans-Pacific Partnership” ที่ญี่ปุ่นเขาหมายมั่นปั้นมือว่าสามารถเอาไว้ใช้ปิดล้อม หรือเตะตัดขา โครงการ “Belt and Road” ของคุณพี่จีน ได้อย่างชนิดขาแดงเป็นปื้นๆ แต่ “ทรัมป์บ้า” ดันสะบัดตูด ถอนยวงไปซะนี่...

ตามด้วยการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากญี่ปุ่น 25 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ว่ากันว่า...ทำให้คุณพี่ยุ่นถึงกับแทบช็อก เพราะไม่ว่าจะพยายามไปเจรจาจับเข่า จับหัวเหน่า เพียงใดก็ตาม ก็ไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ จากสหรัฐฯ ชนิดที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น “นาย Taro Kono” ต้องครวญครางออกมาว่า เป็นสิ่งที่ “น่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง” เพราะเท่ากับทำให้รายได้จากสินค้าเหล็กของญี่ปุ่นที่เข้าไปขายสหรัฐฯ หายวับไปกับตาถึง 415 ล้านดอลลาร์ต่อปี สินค้าอะลูมิเนียมหายไปอีก 25 ล้านดอลลาร์ต่อปี จนญี่ปุ่นเลี่ยงไม่พ้นต้องยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังองค์การการค้าโลก หรือ “WTO” จนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่นั่นยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับแนวโน้มที่อาจมีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ของญี่ปุ่น แบบเดียวกับที่เคยขู่ๆ พันธมิตรยุโรปมาแล้วนั่นแหละ ส่งผลให้ญี่ปุ่นแทบประสาทกิน เพราะอเมริกาคือตลาดใหญ่ที่สุดของรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ญี่ปุ่น ที่อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของญี่ปุ่นปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือทำให้จีดีพีประเทศญี่ปุ่นหดหายไปไม่น้อยกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์...

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องเกิดอาการ “เปี๋ยนไป๋” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และการเปลี่ยนไปของญี่ปุ่น ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่ “Sarah Grillo” บรรณาธิการอาวุโสของเว็บไซต์ “axios.com” สรุปเอาไว้ในข้อเขียนบทความเมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า...“Trump’s trade war is pushing China and Japan closer together” หรือด้วยเหตุเพราะสงครามการค้าของ “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง ที่ทำให้อดีต “คู่กัด”หรือ “คู่แข่ง” อย่างจีนและญี่ปุ่น เริ่มทำท่าว่าคิดจะหันมา “จูบปาก” กันบ้างแล้ว ไล่มาตั้งแต่จีนประกาศว่ากำลังพิจารณานำเข้าสินค้าการเกษตร ประมง ป่าไม้ ฯลฯ ของญี่ปุ่น ที่เคยยกเลิกไปเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์โรงงานไฟฟ้าปรมาณู “Fukushima” เสียหายเพราะภัยพิบัติเมื่อปี ค.ศ. 2011 ขณะที่ญี่ปุ่นได้แสดงท่าทีพร้อมให้ความร่วมมือกับโครงการ “Belt and Road” ของจีน ให้การต้อนรับธนาคาร “China’s Asian Infrastructure Investment Bank” ที่จะเข้ามาลงทุน ทั้งๆ ที่เคยปฏิเสธไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไปจนถึงความร่วมมือในการติดตั้ง “สายด่วนทางทหาร” ของสองประเทศ เพื่อหาทางลดระดับเหตุการณ์การเผชิญหน้ากันและกันในทะเลจีนตะวันออก การเจรจาแลกเปลี่ยนผู้แทนระดับสูงเพื่อความร่วมมือทางการเมือง การค้า และแม้แต่การทหาร และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือ ในช่วงวาระครบรอบ 40 ปีของสนธิสัญญามิตรภาพจีน-ญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศได้ร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาการร่วมลงทุนของจีนและญี่ปุ่นในประเทศที่สาม ซึ่งอาจถือเป็น “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์” ที่ความเป็น “ประเทศคู่แข่ง” ของทั้งจีนและญี่ปุ่น ได้ถูกแปรสภาพให้กลายมาเป็น “ประเทศพันธมิตร” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ...

ที่น่าปลื้ม น่ายินดี ยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือ โครงการร่วมลงทุนของจีนและญี่ปุ่นในประเทศที่สามเป็นครั้งแรก ก็คือการร่วมลงทุนในโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” หรือ “EEC” ณ ไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานี่เอง เรียกว่า...เผลอๆ ชาวไทยทั้งหลาย อาจต้องหันไปขอบคุณ “ทรัมป์บ้า” ที่ช่วย “Pushing” ให้บุญหล่นทับประเทศไทย ชนิดชักหัวแม่เท้าหลบยังไงก็หลบไม่ทันเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...คงไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ความใกล้ชิดยิ่งขึ้นๆ ของจีนและญี่ปุ่น ยังน่าจะมีส่วนช่วยให้บรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโอกาสถอนหายใจ ปลอดโปร่ง โล่งสบายไปด้วยกันทั้งแผง...


กำลังโหลดความคิดเห็น