xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ G-7 กำลังกลายเป็น G-6 ???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

การประชุมกลุ่มประเทศ “G-7” จัดขึ้นที่ประเทศแคนาดา
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องบินไปไกลแถวๆ แคนาดาโน่นเลย เพราะการประชุมกลุ่มประเทศ “G-7” ครั้งที่ 44 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศแคนาดาคราวนี้ ตั้งแต่เมื่อปลายสัปดาห์ (8-9 มิ.ย.) ที่ผ่านมามันชักทำท่าว่ากำลังกลายเป็นการประชุมประเทศ “G-6+1” หรืออาจพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศ “G-6” เฉยๆ ไม่งั้น...ก็อาจเป็น “G-7” ที่ไม่จำเป็นต้องมีประเทศคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป แต่มีคุณน้ารัสเซียย้อนกลับเข้ามาใหม่กันแทนที่...

เพราะไม่ว่าไล่มาตั้งแต่แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ล้วนแต่ออกอาการเหม็นเบื่อ เหม็นขี้หน้า เหม็นสาปรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ของคุณพ่ออเมริกา ชนิดอยากถีบออกไปให้ห่างๆ ให้ไกลๆ เต็มที แม้ว่าญี่ปุ่นกับอังกฤษยังออกไปทางกั๊กไป-กั๊กมา แต่ด้วยลักษณะอาการที่ “คาดเดาไม่ได้” และแถม “ไว้ใจไม่ได้” ซะอีกต่างหาก อันแทบกลายเป็น “เครื่องหมายการค้า” ของอเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” ไปแล้ว โอกาสที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดซึ่งเคยได้ชื่อว่ามี “ขนาดตลาดการค้า” ใหญ่ที่สุดในโลก อาจต้องหันไป “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” เพราะไม่มีใครที่คิดจะคบหาสมาคมด้วย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

อย่างที่ผู้นำฝรั่งเศส ประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” ท่านออกมา “เหวี่ยง”เอาไว้ในช่วงก่อนหน้าการประชุมคราวนี้นั่นแหละว่า... “ 6 ประเทศของ G-7 โดยไม่ต้องมีสหรัฐฯ นั้น คือตลาดการค้าที่ใหญ่ซะยิ่งกว่าตลาดอเมริกาซะอีก และสามารถร่วมมือกันโดยไม่ต้องมีผู้หนึ่ง ผู้ใดยกระดับราคาตัวเองขึ้นเป็นประมุขโลก (Hegemony) โดยเฉพาะถ้าเราทั้งหลายรู้วิธีที่จะจัดการกับตัวของเราเอง...” ไม่ต่างไปจากผู้นำแคนาดา อย่างนายกรัฐมนตรี “จัสติน ทรูโด” ที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของแคนาดาที่ส่งเข้าไปยังสหรัฐฯ ว่าถือเป็นการ “ดูหมิ่นพลเมืองแคนาดาที่เคยร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมรบเคียงบ่า-เคียงไหล่กับชาวอเมริกันมาโดยตลอด” แม้แต่ผู้นำอิตาลี...ที่ถือเป็นพวก “Euroscepticism” หรือพวกที่ไม่อยากจะรวมตัวเป็นสหภาพยุโรปซักเท่าไหร่นัก แต่ก็กลับไม่คิดจะเอาด้วย หรือ “เห็นควรด้วย” กับคุณพ่ออเมริกาแต่อย่างใด โดยเฉพาะกรณีความพยายามบีบบังคับให้ยุโรปทั้งยุโรปต้อง “แซงชั่นรัสเซีย” มาโดยตลอด...

เพราะหลังจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและการพัฒนาของอิตาลี “นายลุยจิ ดิไมโอ” (Luigi Di Maio) ได้ป่าวประกาศว่าควรจะยุติการแซงชั่นรัสเซียซะที และถูกผู้บริหารกองกำลัง “นาโต้” ออกมายื่นบัตรสมาชิก “สมาคมเสือก”ปรามไม่ให้รัฐบาลอิตาลีแสดงท่าทีเช่นนี้ วันสองวันที่ผ่านมา...ผู้นำอิตาลีก็ได้ “เหวี่ยงกลับ” ไปโดยทันที ด้วยการยืนหยัดยืนยันเอาไว้ว่า... “รัฐบาลอิตาลีจะไม่ยอมหงอ ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับความต้องการของชาติอื่นใดโดยเด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่เป็นรัฐบาล...Yes-Sir” หรือไม่จำเป็นต้อง “กุมกระดุม” ให้กับใครต่อใคร แม้อิตาลีจะเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังนาโต้ก็ตาม...

ส่วนเยอรมนีนั้น...แทบไม่ต้องพูดถึง ในเมื่อ 85 เปอร์เซ็นต์ของชาวเยอรมันตามผลสำรวจของสำนักวิจัยแต่ละแห่ง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “อเมริกา...เป็นมิตรที่ไว้ใจไม่ได้” ผู้นำเยอรมนีอย่าง “นางอังเกลา แมร์เคิล” จึงไม่ใช่แค่บินไป-บินมาระหว่างรัสเซียกับจีนเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า การประกาศสนับสนุนแนวคิดของประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเรื่อง “การร่วมมือทางทหาร” ของกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อเพิ่มบทบาทการแทรกแซง ต่อรอง ให้เกิดสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุม บงการ ขององค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ ที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้ชี้นำ ว่าเป็นสิ่งที่เยอรมนีเห็นด้วยในแง่ “หลักการ” หรือเท่ากับเป็นการประกาศที่จะ “กำหนดชะตากรรมของยุโรปไว้ในมือของตัวเอง” โดยไม่ต้องเสียเวลาให้คุณพ่ออเมริกาเป็นผู้พิทักษ์ ปกป้อง อีกต่อไปแล้ว...

การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม...หลังจากถอนตัวออกจากข้อตกลงแก้ปัญหาโลกร้อน ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ไปจนถึงการฝืนมติสหประชาชาติด้วยการรับรองกรุงเยรูซาเล็มในฐานะเมืองหลวงของอิสราเอล ฯลฯ จึงไม่ต่างอะไรไปจาก “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ตกใส่หลังลาแต่ละตัว ซึ่งเคยเป็นมิตรเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกามาโดยตลอด โอกาสที่ “G-7” อาจต้องแปรสภาพกลายเป็น “G-6” หรือ “G-7 ที่มีรัสเซียเข้ามาแทนที่อเมริกา” จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะอย่างที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านให้คำจำกัดความระหว่างการ “สัมภาษณ์มาราธอน” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า การขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของอเมริกาต่อแคนาดา เม็กซิโก ยุโรป ก็คือ “การแซงชั่นแบบแฝงรูป” (Sanctions Disguised) ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรไปจากการเปิดฉาก “สงครามการค้า” กับบรรดาผู้ที่เคยเป็นพันธมิตรของอเมริกานั่นเอง...

และคงไม่ใช่มีแต่กรณีภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเท่านั้น...แนวโน้มที่รัฐบาลอเมริกันของ “ทรัมป์บ้า” กำลังเตรียมอาศัยกฎหมายที่เรียกย่อๆว่า “CAATSA” (Countering America’s Adversaries Through Sanctions Act) เล่นงานบรรดาบริษัทพลังงานยุโรปในแต่ละบริษัท ที่เข้าไปร่วมมือ ร่วมการลงทุนกับบริษัท “Gazprom” ของรัสเซีย ในโครงการท่อขนส่งแก๊ส “Nord Stream 2” ที่จะส่งแก๊สประมาณ 5.5 พันล้านคิวบิกเมตรต่อปี จากรัสเซียผ่านทะเลบอลติกเข้ามายุโรป ซึ่งจะเริ่มต้นปฏิบัติการในปี ค.ศ. 2019 ที่จะถึง บรรดาบริษัทที่ถูกเอาปูนหมายหัวว่าจะต้องไล่ทุบ ไล่บี้ มีทั้งบริษัท “Wintershall” และ “Uniper” ของเยอรมนี บริษัท “Engie” ของฝรั่งเศส บริษัท “Royal Dutch Shell” ของอังกฤษ รวมทั้งบริษัท “OMV” ของออสเตรียเมื่อต้องเจอกับการแซงชั่นแบบแฝงรูป-ไม่แฝงรูปเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ใครเถอะ...คงไม่เหลือแรงปรารถนา ไม่มีใจพอที่จะคบหาสมาคมกับคุณพ่ออเมริกาแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว...

ด้วยเหตุนี้...การรวมตีนหันไปถีบอเมริกา โดยอาจหนีไม่พ้นต้องหันไปจูบปากรัสเซียและจีน จึงถือเป็นแนวโน้มซึ่งกำลังก่อรูปก่อร่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และโดยแนวโน้มเช่นนี้ น่าจะส่งผล ส่งอานิสงส์ให้กับ “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย ในระหว่างที่ต้องจับเข่า จับหัวเหน่าพูดคุยเจรจากับ “ทรัมป์บ้า” ที่สิงคโปร์ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เพราะการเจรจากับผู้ที่กำลังตกอยู่ในสภาพ “นกไร้ขน-คนไร้เพื่อน” ผู้ที่ออกอาการ “หม่นหมอง” จน “มิตรมองเหมือนหมู-หมา” ยิ่งขึ้นไปทุกขณะ ย่อมต้องถือเป็นการเจรจาที่ “ได้เปรียบ” ตั้งแต่ต้น ส่วนสุดท้ายแล้ว...จะจบลงกันตรงไหน อย่างไร คงต้องรอลุ้นไปพร้อมๆ กับการลุ้น “บอลโลก” นั่นแหละทั่น...


กำลังโหลดความคิดเห็น