บังคับใช้แล้ว “พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ” เฮี้ยบหว่านงบห้ามสร้างความนิยมทางการเมือง งบฯลงทุนต้องไม้อยกว่า 20% ของงบฯรวม ห้ามชงของบฯเพิ่มเติมพร่ำเพรื่อ งบกลางต้องมีเหตุผลความจำเป็นให้ชัด
วานนี้ (19 เม.ย.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ซึ่งเนื้อหาของกม.ดังกล่าว มี 87 มาตรา ทั้งนี้ในส่วนของเหตุผลของกฎหมายระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพ และมั่นคงอย่างยั่งยืน ตามกม.ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งกม.ดังกล่าว อย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรอบการดำเนินการทางการคลัง และงบประมาณของรัฐ การกำหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้ และรายจ่าย ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐ เงินคงคลัง และการบริหารหนี้สาธารณะ จึงจำเป็นต้องตราพ.ร.บ.ฉบับนี้
สำหรับเนื้อหาที่น่าสนใจมีอาทิ มาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า "คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทำงบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐ หรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ คณะรัฐมนตรี ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชนในระยะยาว"
ขณะที่ มาตรา 20 กำหนดให้การการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องมีหลักเกณฑ์ อาทิ งบประมาณรายจ่ายลงทุนต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีนั้น และงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่กระทรวงการคลังกู้ หรือค้ำประกัน ต้องตั้งเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินอย่างพอเพียง เป็นต้น
ส่วนในมาตรา 21 กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมโดยระบุว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้ และให้ระบุที่มาของเงินที่จะใช้จ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมด้วย ส่วนงบกลางนั้น ระบุว่า ให้ตั้งได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรร หรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง
ขณะที่ในมาตรา 23 ยังให้มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแก่หน่วยงานของรัฐสภา ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอัยการ ให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระ โดยต้องคำนึงถึงการดำเนินงาน รายได้ เงินนอกงบประมาณ และเงินอื่นใดที่หน่วยงานนั้นมีอยู่ด้วย.
วานนี้ (19 เม.ย.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ ซึ่งเนื้อหาของกม.ดังกล่าว มี 87 มาตรา ทั้งนี้ในส่วนของเหตุผลของกฎหมายระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพ และมั่นคงอย่างยั่งยืน ตามกม.ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งกม.ดังกล่าว อย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรอบการดำเนินการทางการคลัง และงบประมาณของรัฐ การกำหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้ และรายจ่าย ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐ เงินคงคลัง และการบริหารหนี้สาธารณะ จึงจำเป็นต้องตราพ.ร.บ.ฉบับนี้
สำหรับเนื้อหาที่น่าสนใจมีอาทิ มาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า "คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทำงบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐ หรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ คณะรัฐมนตรี ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชนในระยะยาว"
ขณะที่ มาตรา 20 กำหนดให้การการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องมีหลักเกณฑ์ อาทิ งบประมาณรายจ่ายลงทุนต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีนั้น และงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่กระทรวงการคลังกู้ หรือค้ำประกัน ต้องตั้งเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินอย่างพอเพียง เป็นต้น
ส่วนในมาตรา 21 กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมโดยระบุว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้ และให้ระบุที่มาของเงินที่จะใช้จ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมด้วย ส่วนงบกลางนั้น ระบุว่า ให้ตั้งได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรร หรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง
ขณะที่ในมาตรา 23 ยังให้มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแก่หน่วยงานของรัฐสภา ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอัยการ ให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระ โดยต้องคำนึงถึงการดำเนินงาน รายได้ เงินนอกงบประมาณ และเงินอื่นใดที่หน่วยงานนั้นมีอยู่ด้วย.