xs
xsm
sm
md
lg

จีน-สหรัฐฯ “สงคราม” ที่ต้องมองให้ลึกกว่าแค่ “การค้า”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน
วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันต่อเรื่อง “สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ” อีกซักตั้งนั่นแหละทั่น เพราะถ้ามัวจับเอาแต่เฉพาะกิริยาท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ อย่าง “ทรัมป์บ้า” มาใช้เป็นมาตรวัด ว่าจะออกไปทาง “บ้าจริง-บ้าปลอม” ไม่ว่าใครก็ใคร...ดูจะออกไปทาง “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปเป็นแถบๆ เดี๋ยวก็หุ้นตก-หุ้นขึ้นเล่นเอาปวดเศียรเวียนเกล้ามิใช่น้อย คือพอ “ทรัมป์บ้า” ประกาศว่าเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน อีกมูลค่านับ 100,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเอาแก้แค้น เอาคืนจีน ที่คิดขึ้นภาษีสินค้าการเกษตรและอื่นๆ ของสหรัฐฯ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั้งหลายก็พร้อมใจปักหัวทิ่ม เลือดสาดกันไปเป็นลิ่มๆ แต่พอช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทันทีที่ “ทรัมป์บ้า” ออกมาปฏิเสธแสดงความไม่ยอมรับว่า “สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ” ได้เริ่มขึ้นแล้วแถมหันมาหยอดคำหวานประมาณว่า ตัวเองกับ “สี”(จิ้นผิง) นั้นถือเป็น “เพื่อนซี้” ระหว่างกันและกัน ยังไงๆ...จีนย่อมต้องหันมาขอจูบปากสหรัฐฯ อยู่แล้วแน่ๆ อะไรประมาณนั้น ตลาดหุ้นก็พร้อมใจซื้อแหลก-ขายแหลกกันอีกต่อไป...

คือถ้าหากมองกันในรูปนี้...ไม่เพียงแต่ต้องแปลงกายเป็น “แมลงเม่า” บินเข้ากองไฟกันไปเป็นแถวๆ ยังไม่อาจสร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับตัวเองและผู้อื่น กับส่วนรวม-ส่วนตัวใดๆ ได้เลย เพราะเรื่อง “สงครามการค้า” หรือจะเรียกว่า “สงครามการเมืองที่อาศัยการค้าเป็นเครื่องมือ” ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เที่ยวนี้ ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “สงครามการเมืองที่อาศัยการทูตเป็นเครื่องมือ” ระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษกับรัสเซียก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องที่จะไปมองกันแบบวัน-ต่อ-วัน มองเฉพาะ “คำพูด” ที่โต้กันไป-โต้กันมา หรือแม้แต่มองไปถึง “มาตรการ” ในแต่ละชุด ที่ต่างฝ่ายต่างงัดเพลงกระบี่ออกมาสาดใส่กันในแต่ละกระบวนท่า คงไม่ได้ให้คำตอบ-คำอธิบายชัดเจนมากมายซักเท่าไหร่ มีแต่ต้องหันไปมอง “ภาพรวม” ว่าด้วยความขัดแย้งในระดับรากฐานของโลกทั้งโลกนั่นแหละ ที่มันดำเนินเป็นกระบวนการแบบต่อเนื่องยาวนาน นับเป็นทศวรรษๆ มาแล้วก็ว่าได้ และยังหา “จุดลงตัว” ใดๆ แทบไม่เจอ มีแต่ต้อง “ใส่กันเละ” กันไปข้าง จนกว่าฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่งจะ “เจ๊ง” กันไปเองนั่นแล...

ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่น่าคิด น่าสังเกตอยู่ไม่น้อย สำหรับ “สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ”เที่ยวนี้ ก็คือลักษณะอาการของผู้คนในสหรัฐฯ หรือแม้แต่ตัว “ทรัมป์บ้า” เอง ที่ดูจะตกอก ตกใจ และออกจะ “แปลกใจ” อยู่ไม่น้อย ต่อท่าทีของคุณพี่จีน ซึ่งค่อนข้างผิดแผกแตกต่างไปจากเมื่อหลายสิบปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะความพยายาม “อาศัยการค้า” มาเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ของสหรัฐฯ นั้น ใช่ว่าจะเริ่มมีมาในช่วงวัน-สองวันนี้ หรือแต่เฉพาะในยุครัฐบาล “ทรัมป์บ้า” กันซะเมื่อไหร่ อาจเรียกว่า...ย้อนหลังไปเป็นทศวรรษๆ เอาเลยก็ว่าได้ ที่ประเทศซึ่งมี “ขนาดเศรษฐกิจ” ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ท่านมักจะหยิบเอาเรื่องการค้า ธุรกิจ หรือแม้แต่การเงิน-การทอง มาใช้เป็นตัวสร้างแรงกดดันต่อประเทศจีน ที่มาแรงแซงโค้ง และทำท่าว่ากำลังจะเบียดหลัง-เบียดไหล่ กลายเป็น “คู่แข่งทางอำนาจ” ของท่านไปในทุกๆ เรื่อง...

และเมื่อไหร่ที่เกิดการหยิบเอาเรื่องทำนองนี้ มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เหตุการณ์ทั้งหลายก็มักจะจบลงไปในแบบที่คุณพี่จีนต้องหันมาเป็นฝ่าย “หยวนๆ” กับคุณพ่ออเมริกาซะทุกทีไป หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแห่งสถาบัน “Brookings Institution” กรุงวอชิงตัน “นายจิง ฮวง” (Jing Huang) เคยพูดๆ เอาไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ชนิดแทบเป็น “สูตรสำเร็จ” เอาเลยก็ว่าได้ ประมาณว่า “ทุกๆ ครั้ง...ที่สัมพันธภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เกิดกระทบกระทั่งกันขึ้นมาเมื่อไหร่ จีนก็มักพยายามผ่อนคลายบรรยากาศด้วยการสั่งซื้อสินค้ารายการใหญ่ๆ จากสหรัฐฯ” เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน แห่งบริษัทที่ปรึกษา “Capital Economics” “นายจูเลียน อีแวนส์” (Julian Evans) ที่ออกมาแสดงความแปลกใจลักษณะไม่ต่างไปจากกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วยคำพูดที่ว่า... “โดยปกติแล้ว จีนมักยอมอ่อนข้อกับสหรัฐฯ ในแทบทุกครั้งที่เกิดปัญหาทางการค้า ด้วยการลดความขัดแย้งโดยวิธีการเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ” แต่มาคราวนี้...ไม่ว่าการกระทบกระทั่งในเรื่องมาตรการภาษีนำเข้าจีน-สหรัฐฯ จะลุกลามบานปลายกลายเป็น “สงครามการค้า” จริงๆ หรือไม่ก็ตาม ท่าทีของจีน...ดูจะทำให้ใครต่อใครในอเมริกาแทบ “หายบ้า” เอาเลยก็ว่าได้...

คือไม่เพียงแต่งัดเอากระบวนการท่าคว้าเงา-สลับร่าง เหยียบหิมะไร้รอย ไปจนถึงดัชนีดาวร่วงทวงวิญญาณ ฯลฯ ออกมาตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของอเมริกาแบบชนิด “หนามบ่งหนาม” (Tit-for-tat) เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อทางการของจีนอย่างเว็บไซต์ “Global Times” ยังถึงกับออกมาปลุกระดมมวลชนชาวจีน ด้วยข้อเขียน บทความ อันว่าด้วย... “China should fight the trade war as it did the Korean War” หรือ “จีนควรสู้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ให้เหมือนอย่างที่เคยสู้ในสงครามเกาหลี” เอาเลยถึงขั้นนั้น เรียกว่า...ย้อนยุคบุพเพสันนิวาสไปถึงครั้งการหลั่งเลือดชาวจีนนับล้านๆ เพื่อยับยั้งการบุกข้ามแม่น้ำยาลู่ของกองทัพสหรัฐฯ เข้ามาในพรมแดนจีนเมื่อปี ค.ศ. 1950-1953 ประมาณนั้น แถมยังสร้างความขนหัวลุกไว้ถึงขั้นว่า... “เราจะสู้ในวันนี้...แบบเดียวกับที่เราเคยสู้มาก่อน โดยไม่ต้องกลัวต่อการสูญเสียหรือการเสียสละ แม้ว่าเราต้องเสียสละ แต่เราก็พอเข้าใจได้ว่าความโลภแห่งการเป็นจ้าวโลก (Hegemony) นั้น มันปราศจากขีดจำกัด ดังนั้น...ถ้าเราไม่คิดสู้ในวันนี้ เราจะไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่า...เราจะต้องสูญเสียอะไรอีกต่อไปในวันพรุ่งนี้...”

ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของจีน...จากเท่าที่เคยเป็นมานี่เอง ที่เริ่มทำให้ใครต่อใครในอเมริกาชักเริ่ม “หายบ้า” กันไปเป็นแถบๆ แม้แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน อย่าง “นายเบนจามิน อี. แซสส์” (Benjamin Eric Sasse) แห่งรัฐเนแบรสกา ยังอดไม่ได้ที่ต้องออกมาขัดขาประธานาธิบดีของตัวเอง หลังได้ฟังคำประกาศว่าสหรัฐฯ กำลังคิดขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยคำกล่าวที่ว่า “ผมหวังว่า...ท่านประธานาธิบดีคงแค่ออกมาขู่เฉยๆ แต่ถ้าท่านคิดจะทำจริง แม้แค่เพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่คิด...นั่นต้องถือว่า...บ้าไปแล้ว!!!” นั่นยังไม่รวมไปถึงผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐฯ ที่อยู่ข่ายอาจถูกกระบวนท่าวิชา “ยืมหอกสนองคืน” ของตระกูลมู่ย้งเล่นงานเป็นรายต่อไป ก็เริ่มออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ แบบชัดๆ จะจะขึ้นมาบ้างแล้ว...

อาจเรียกได้ว่า...อันที่จริงจีนเองคงไม่คิดจะเปิดฉากสงครามการค้า อันเป็น “สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ” กับสหรัฐฯ อยู่แล้วแน่ๆ แต่ด้วย “ท่าทีที่เปลี่ยนไป” ของจีนในเรื่องนี้ อาจถือเป็นตัวสะท้อนได้ว่า จีนนั้น “เติบใหญ่” และ “แข็งแกร่ง” เกินกว่าที่สหรัฐฯคิดจะใช้มาตรการเล่นงานแบบเดิมๆ ได้ต่อไปอีกแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ หวังจะใช้ “หมากรุก” เดินม้าไปกินเรือ กินโคลนของจีน แต่จีนได้หันมาใช้ “หมากล้อม” กดดันสหรัฐฯ ทั้งภายนอก ภายใน จนไม่เพียงแต่เฉพาะ “สงครามการค้า” เท่านั้น ที่สหรัฐฯ ไม่อาจบรรลุจุดเป้าหมายตามที่หวังและต้องการได้เลย กระทั่งโอกาสหันไปใช้ “สงครามเลือด” ก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากต้องอาศัย “ลูกบ้า” แบบชนิดเต็มร้อย แบบไม่ต้องเหลือสติ ปัญญาใดๆ เอาไว้เลย เพื่อให้โลกทั้งโลกฉิบหายไปพร้อมๆ กับตัวเองนั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น