xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศึก3ก๊กใต้“มาราปาตานี-อักษรา-บิ๊กอาร์ต” “บิ๊กตู่-เจี๊ยบ”หนักใจ ไทยโดนหักหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุกรี ฮารี , พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช , พล.อ.อักษรา เกิดผล
สมการการเมือง
 
กลายเป็นศึก“3 ก๊ก”หลังฝ่ายนายสุกรี ฮารี หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ฝ่ายมาราปาตานี ออกมาระบุว่า ฝ่ายมาราปาตานี ยังไม่ยอมรับการกำหนดพื้นที่“เซฟตี้โซน”จ.ชายแดนภาคใต้ หลัง“บิ๊กโบ้”พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยฯฝ่ายไทย เปิดเผยว่า กำลังกำหนดนำร่อง 1 อำเภอ และการตั้ง เซฟเฮ้าส์ขึ้น

ส่วน“บิ๊กอาร์ต”พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ได้ทำพื้นที่เซฟตี้โซนไว้ 14 อำเภอนานแล้ว แต่ทำมาเงียบๆไม่ได้ระบุว่าพื้นที่ใดบ้าง เพราะจะเป็นการ จุดพลุขึ้นมาได้

จึงทำให้ข้อมูล“กระจัดกระจาย”ว่าสุดท้ายแล้ว “เซฟตี้โซน”มีจริงหรือไม่ และจำนวนเท่าใดแน่ ?

อีกด้านหนึ่ง ได้จุดประกาย“ศึกใน”ขึ้นมาทันที ระหว่างพล.ท.ปิยวัฒน์ และพล.อ.อักษรา ถึงขั้นทำให้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องออกมาปรามการพูดของพล.ท.ปิยวัฒน์ ว่า แม่ทัพภาคที่ 4 มีบทบาทในการสร้างสภาวะแวดล้อมให้พื้นที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องการเจรจาเป็นเรื่องของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงกลาโหม และคณะพูดคุยฯ ที่มีกรอบงานตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ จึงอย่าพูดให้เสียหาย

ด้าน“บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ก็ออกมาสะกิด พล.ท.ปิยวัฒน์ เช่นกันว่า“คนทำงานบางเรื่องก็สามารถพูดออกสื่อได้ บางเรื่องก็ไม่สมควร เพราะเป็นเรื่องการตกลงระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย ถ้าออกมาแล้ว สังคมอาจจะสับสน ท่านนายกฯ ท่านก็ได้พูดคุยกับผม ให้พูดคุยกับทางแม่ทัพภาคที่ 4 ว่าบางเรื่องที่ไม่ใช้หน้าที่ของท่านก็ไม่ควรพูด”

อีกทั้งประเด็นโครงการ “พาคนกลับบ้าน”ที่ “บิ๊กอาร์ต”พยายามปลุกปั้นขึ้นมา ในการนำผู้ที่เคยเป็นแนวร่วม ให้กลับมาร่วมกันแก้ปัญหากับฝ่ายไทย ซึ่งฝั่ง “มาราปาตานี”ระบุว่า ทั้งโครงการพาคนกลับบ้าน กับเซฟตี้โซน ไม่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยสันติสุขฯ และระบุว่า โครงการพาคนกลับบ้านเป็นแค่การ“จัดฉาก”เท่านั้น

เท่ากับเป็นการ“หักหน้า”ทั้ง “บิ๊กโบ้”และ “บิ๊กอาร์ต”ทำให้ฝ่าย “มาราปาตานี”ได้เปรียบในแต้มต่อไปทันที

ซึ่งพล.อ.เฉลิมชัย ก็ได้สอนมวย พล.ท.ปิยวัฒน์ ในการเปิดเผย การทำงานลับ’ในโครงการนี้ว่า “แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นระดับที่ทำงานในพื้นที่ ได้ติดต่อแหล่งข่าวในส่วนของโครงการพาคนกลับบ้าน ที่มีการพูดคุยกันทางลับ ซึ่งบางเรื่องอาจทำให้สังคมสับสน แต่สามารถทำได้ เพื่อให้เกิดความสงบ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดในทุกเรื่องที่เราทำ บางเรื่องก็ให้เป็นกระบวนการของคณะพูดคุยฯไปว่ากันไป”

แน่นอนว่า เรื่องนี้ทำให้ “บิ๊กอาร์ต”เสียเซลฟ์ไปไม่น้อย เพราะเป็นหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ หลังขออาสาทำงานต่อ จนกว่าจะเกษียณฯ ก.ย.61 ไม่ขอขึ้นเป็น“พล.อ.”ไปอยู่ตำแหน่งลอย รอเกษียณฯ

และอย่าลืมว่า พล.อ.อักษรา มีอีกตำแหน่งคือ ที่ปรึกษานายกฯ แน่นอนว่าเป็นบุคคลที่พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจอีกคน ซึ่งพล.ท.ปิยวัฒน์ เองก็มี‘ผู้สนับสนุน’ที่สำคัญเช่นกัน

ความหนักอกหนักใจทั้งหมด จึงตกไปที่ พล.อ.เฉลิมชัย ไม่น้อย

แถมแทงใจ“บิ๊กอาร์ต”ไม่น้อยที่โดนตำหนิ “ผลงานชิ้นโบว์แดง”ทั้ง 2 ชิ้น ซึ่งการออกมาของฝ่าย“มาราตานี”ก็ชิงไหวชิงพริบกับฝ่ายไทยไม่น้อย ท่ามกลางการขัดแข้ง ขัดขากันเองของฝ่ายไทย

ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ ? อีกทั้งข้อถกเถียงที่ไร้คำตอบว่า สุดท้ายแล้วกลุ่มที่มาพูดคุย“ตัวจริง”และมี “เพาเวอร์”ในขบวนการจริงหรือไม่ ?

ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำจุดยืนชัดเจนในการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ครั้งล่าสุด (4เม.ย 61) ถึงการพูดคุยสันติสุข ว่า ไม่ควรไปยกระดับเขาขึ้นมา เพราะบางกลุ่มไม่เคยอยู่ในทำเนียบการก่อการร้าย และไม่เคยเห็นต่าง ซึ่งตนรับได้เพียงการเป็นกลุ่มคนเห็นต่างเท่านั้น
อีกทั้งผู้ที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ใช่รัฐบาล ส่วนการทำเซฟตี้โซนอยู่ที่ก่อเหตุ ไม่ใช่รัฐบาล และจะต้องได้รับความเห็นชอบทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งการพูดคุย เราจะต้องไม่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียเปรียบ

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.อักษรา ทำงานกับระดับพื้นที่ยากขึ้นไปอีก คือ การออกมาให้ข่าวเปิดเผยถึงขั้นตอนการทำงาน“ด้านการข่าว”ที่ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ เลี้ยงผู้ก่อเหตุหรือแนวร่วมในพื้นที่

เพื่อให้ได้ข่าวมา แน่นอนว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน เพราะเป็นขั้นตอนการทำงานลับ ที่กลับนำมาเปิดเผยในที่แจ้ง ซึ่งการเลี้ยงนี้ เป็นวิธีการที่ฝ่ายข่าวทำมานาน เพื่อได้ชุดข้อมูลที่สำคัญ จึงไม่ใช่การ“ชักศึก”เข้าบ้าน

จึงเป็น“บทเรียน”ที่สำคัญของทั้งฝ่าย “บิ๊กอาร์ต”และ “บิ๊กโบ้”ถ้าคิดจะ“ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง”ไม่เช่นนั้น ผลเสียจะตกไปกับระดับผู้ปฏิบัติงาน และชาวบ้านทันที สถานการณ์จะยิ่งบานปลาย ยากจะแก้ไข

ซึ่งผู้ก่อเหตุและแนวร่วม ก็เปลี่ยน“กลยุทธ์”การก่อเหตุ และขับเคลื่อนในพื้นที่อยู่ตลอด ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมการก่อเหตุ และการแพร่ชุดความคิด หรือฝังตัวไปในองค์กรต่างๆ สร้างคนรุ่นใหม่ การสร้างขบวนการบีอาร์เอ็น ให้อยู่ที่ใจบุคคล ไม่ใช่ตัวบุคคล การที่ฝ่ายไทยจะเข้าสลาย ความเชื่อร่วมกันนี้ จะยิ่งทำได้ยากขึ้น

แต่ก็มีสัญญาณบวกจากฝ่ายมาราปาตานี ที่ระบุว่า เชื่อมั่นในการพูดคุยกับ“รัฐบาลทหาร” ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่า เพราะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาด และสามารถสั่งการง่ายกว่า รัฐบาลพลเรือน

อีกทั้งเป็นวิธีคิดของคนรุ่นเก่า ในขบวนการพูดคุยฯ แต่อย่าลืมขบวนการรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่เป็นกลุ่มที่มี “เพาเวอร์”ในเวลานี้ และจะอยู่ไปอีกนาน

“ศึกใน”ไม่จบ “ศึกนอก”อยู่ยาว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น