xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

6 ข้อหา “พรานใหญ่เปรมชัย” หนทาง “ติดคุก” ยังอีกยาวไกลยิ่งนัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คืบหน้าเข้ามาอีกนิดสำหรับคดีของบิ๊กบอสอิตาเลียน-ไทย “นายเปรมชัย กรรณสูต” และคณะ ซึ่งเข้าไปตั้งแคมป์ล่าสัตว์ป่าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี เมื่ออัยการมีคำสั่ง “ฟ้อง6 ข้อหา” และ “ไม่ฟ้อง 5 ข้อหา”เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา

มีความเห็นสั่งฟ้องนายเปรมชัย 6 ข้อหา อันประกอบไปด้วย

หนึ่ง- พกพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้อนุญาต สอง-ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สาม-ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สี่-ร่วมกันมีไว้ในครองครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ห้า-ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย และหก-ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย 5 ข้อหาประกอบไปด้วย

หนึ่ง-ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต สอง-ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สาม-ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า หรือจับสัตว์ป่า หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สี่-ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และห้า-ร่วมกันทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ร

นอกจากนี้ยังเรียกค่าเสียหายทางคดีอาญาเกี่ยวกับเสือดำที่ตีราคา 4.6 แสนบาท โดยอ้างอิงจากราคาเสือดำของสวนสัตว์ไนท์ซาฟารีเชียงใหม่ เมื่อปี 2549

“โดยเหตุที่ไม่ฟ้องนายเปรมชัยในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตนั้นพบว่า ปืนของนายเปรมชัย มีทะเบียน การครอบครองอย่างถูกต้อง ส่วนข้อหาเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นหลังจากการตรวจสอบแล้วพบว่านายเปรมชัยมีการขออนุญาตเข้าพื้นที่แต่การเข้าไปผิดขั้นตอนจึงไม่ฟ้องในข้อหานี้”นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 อธิบายถึงเหตุผลส่วนหนึ่งที่สั่งไม่ฟ้องใน 4 ข้อหา

สำหรับความเสียหายทางคดีแพ่งจำนวน 12 ล้านบาทนั้น ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต้องไปฟ้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายกันเอง

กล่าวสำหรับอัตราโทษ 6 ข้อหา สามารถแยกแยะได้ดังต่อไปนี้

1. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ซึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 36 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ซึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ โดยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น นำพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มากระทำการผิดกฎหมาย โดยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 55 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

6.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ซึ่งตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท

ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) อธิบายขยายความเพิ่มเติมว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ฟ้อง 1 ข้อหาตั้งแต่แรก ในข้อหาเกี่ยวกับครอบครองอาวุธปืน เนื่องจากปืนมีทะเบียนชื่อนายเปรมชัย ส่วนอีก 2 ข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเกี่ยวกับการเข้าป่าล่าสัตว์ และนำอาวุธปืนเครื่องมือล่าสัตว์เข้าไป ทั้ง 2 ประเด็นพนักงานสอบสวนทำสำนวนรัดกุมตามพยานหลักฐาน แต่มองว่าเป็นไปได้ว่าทางอัยการมองว่าไม่มีเจตนา เนื่องจากการเข้าไปในป่าผ่านการอนุญาตโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ

นอกจากนี้ ในการทำสำนวนคดีนายเปรมชัยนั้น หลังส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สอบสวนเพิ่มเติม ถึง 2 ครั้ง ใน 3 ประเด็น คือการแจ้งค่าเสียหาย ผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ และการแจ้งพฤติการณ์แห่งคดีให้ผู้ต้องหาทราบ โดยไม่ได้สั่งให้สอบสวนเพิ่มในประเด็นที่เกี่ยวกับข้อหาที่สั่งไม่ฟ้องแต่อย่างใด ประเด็นที่สั่งไม่ฟ้อง อัยการไม่เคยให้สอบเพิ่ม

“การที่ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการและสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมถึง 2 รอบ แสดงว่าสำนวนนี้ไปสุดแล้ว ผ่านการกลั่นกรองกันแล้ว ยืนยันว่าสำนวนไม่ได้อ่อน ตำรวจทำอย่างรัดกุมและมีการกลั่นกรองแล้วโดยอัยการ ดูแล้วไม่ได้สั่งสอบเพิ่มในประเด็นเหล่านี้ที่สั่งไม่ฟ้องเลย ถือว่าโอแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องเรื่องการเอาอาวุธเข้าไป ซึ่งเป็นเรื่องของกรมอุทยานฯ ในการให้อำนาจอนุญาต อย่างไรก็ตามเมื่อได้รับรายงานของอัยการ ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โดย พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผบช.ภ.7 ต้องพิจารณาทบทวนว่าจะมีความเห็นแย้งหรือพ้องตามอัยการ เพราะจริงๆ แล้วตำรวจเห็นแย้งทุกข้อหาที่อัยการไม่สั่งฟ้อง” รองผบ.ตร.กล่าว

แต่สิ่งที่สังคมอยากรู้ก็คือ สุดท้ายแล้ว “นายเปรมชัยจะติดคุกหรือไม่”?

และคำว่าติดคุกหรือไม่ในที่นี้ มิได้หมายความว่า นายเปรมชัยจะพ้นผิดในทุกข้อกล่าวหา หากหมายความว่า นายเปรมชัยได้กระทำความผิดจริง เพราะต้องยอมรับว่า ข้อหาหนักๆ ยังคงอยู่ครบทุกข้อหา และแต่ละข้อหาก็มีโทษไม่เบาพอดู แต่อาจมี “ช่องว่างช่องโหว่” อะไรหรือไม่ ที่ทำให้โทษบรรเทาเบาบางลงไป เพราะใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างปรากฏให้เห็นเสียเมื่อไหร่

โดยเฉพาะความช่ำชองในการทำคดีของบรรดา “ยอดทนาย” ทั้งหลาย ที่เชื่อเหลือเกินว่าย่อมจะมีเทคนิคแพรวพราวเข้าขั้นเทพอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่บรรดาพยานฝ่ายนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก หรือพยานฝ่ายโจทก์ก็จำต้องไม่ประมาท และตั้งอยู่ในสติอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น จึงยังคงต้องลุ้นระทึกกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วคดีนี้จะลงเอยอย่างไร นายเปรมชัยจะมีความผิดมากน้อยขนาดไหน และต้องติดคุกติดตะรางหรือไม่ อย่างไร




กำลังโหลดความคิดเห็น