xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

สี จิ้นผิง ฮ่องเต้องค์ใหม่ของจีน

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ


การประชุมสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน หรือเอ็นพีซี (NPC – National People’s Congress) ครั้งที่ 13 เริ่มขึ้นแล้ววันนี้

เอ็นพีซีนี้ คือองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วยผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง โดยสมัชชาประชาชนประจำมณฑลเขตปกครองเทศบาลนครที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลโดยตรง กองทัพรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,000 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี

รัฐธรรมนูญของจีนกำหนดบทบาทหน้าที่อำนาจของเอ็นพีซี ให้ทำหน้าที่ ปรับแก้รัฐธรรมนูญกำกับดูแลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ รับรองและปรับแก้กฎหมาย พื้นฐานที่ควบคุมการกระทำผิดกิจการพลเรือน กลไกรัฐ และกิจการต่างๆ เลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ประธานศาลประชาชนตรวจสอบและรับรองแผนพัฒนาเศรษฐกิจ งบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ

ในทางปฏิบัติ เอ็นพีซี คือ สภาตรายาง สมาชิกสภามีหน้าที่ยกมือลงมติตามแนวทางที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดมาให้แล้ว ไม่มีสิทธิเห็นต่างหรือแตกแถว

การประชุมเอ็นพีซีปีนี้ มีวาระสำคัญคือ การแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกบทบัญญัติที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 2 วาระ 10 ปี

ทั้งนี้ เพื่อเปิดทางให้ สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีซึ่งอยู่ในตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 ที่จะครบวาระปี 2022 สืบทอดอำนาจต่อไปได้โดยไม่มีกำหนด

ธรรมเนียมการจำกัดวาระการเป็นผู้นำไม่ให้เกิน 10 ปี 2 วาระเกิดขึ้นในทศวรรษ 1980 ในยุคของเติ้ง เสี่ยว ผิง เพื่อล้มล้างระบบผู้นำคนเดียวในยุคประธานเหมา เจ๋อ ตุง ที่เป็นการผูกขาดอำนาจนำไปสู่การใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล การทุจริตคอร์รัปชัน การเล่นพรรคเล่นพวก ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามซึ่งเติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นเหยื่อคนหนึ่ง ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมที่แก๊ง 4 คนอันประกอบด้วย ภรรยา และคนสนิทของเหมา อ้างอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เป็นเครื่องมือกวาดล้างผู้ที่มีความเห็นต่าง และเป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง

ในปี 1982 เติ้ง เสี่ยว ผิง จึงเขียนรัฐธรรมนูญกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไว้เพียง 2 สมัย และแยกการทำหน้าที่ในฐานะผู้นำในรัฐบาล กับ ตำแหน่งในพรรคออกจากกันอย่างชัดเจน คนที่มีตำแหน่งในพรรคจะไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล เป็นการสร้างระบบ การนำแบบรวมหมู่ร่วมกันตัดสินใจแทนระบบรวมศูนย์อำนาจในยุคเหมา เจ๋อ ตุง

การยกเลิกการจำกัดวาระการเป็นประธานาธิบดี เพื่อให้สี จิ้นผิง อยู่ในตำแหน่งต่อไปหลังจากปี 2022 คือ การล้มเลิกระบบการนำรวมหมู่ของเติ้ง เสี่ยว ผิง ที่ใช้มานานเกือบ 40 ปีกลับไปสู่ระบบรวมศูนย์อำนาจเหมือนยุคประธานเหมา ที่ตัวประธานเหมา มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว มีฐานะประหนึ่งฮ่องเต้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

นับตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 สี จิ้นผิง ได้ดึงอำนาจการจัดการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งปกติจะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีมาไว้กับตัว เขาได้ประกาศนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน และใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดบุคคลที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรคและในรัฐบาลที่เขาเห็นว่าจะเป็นคู่แข่งและไม่ภักดีกับตน

สี จิ้นผิงรวบอำนาจการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาไว้กับตัวแทนการปรึกษาหารือ จัดสรรตำแหน่งในหมู่ผู้นำพรรคเหมือนในอดีต เขาแต่งตั้งคนสนิทขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญๆ จำนวนมาก

นโยบายการปราบปรามการคอร์รัปชัน ทำให้สี จิ้นผิงได้รับความนิยมจากประชาชน ประกอบกับภาพลักษณ์ความเป็นคนติดดิน ลงมือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะปัญหาความยากจนของชนชั้นล่าง ส่งเสริมให้เขาเป็นผู้นำที่ประชาชนรักและเคารพ

เมื่อครบวาระการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว สี จิ้นผิง ก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดของอำนาจ ทั้งพรรค รัฐบาล กองทัพ ล้วนอยู่ภายใต้การนำของเขา โดยมีมวลชนประชาชนชาวจีนเป็นฐานคะแนนนิยม

ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง โดยไม่มีการประกาศผู้ที่จะเป็นทายาทสืบต่อ อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ที่ดำรงตำแหน่งในวาระที่สอง ถึงแม้ว่า เขาจะมีอายุครบ 68 ปีในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งตามกฎต้องเกษียณซึ่งเป็นสัญญาณว่า เขาต้องการเป็นผู้นำ ทั้งผู้นำพรรค และผู้นำรัฐบาลต่อไป แม้จะเลยวัยที่ต้องเกษียณแล้ว

ในการประชุมพรรคครั้งนั้น สถานะของสี จิ้นผิง ถูกยกให้เทียบเท่าเหมา เจ๋อ ตุง และเติ่ง เสี่ยว ผิง โดยการประกาศให้ “ความคิดสี จิ้นผิง” เป็นแนวทางสังคมนิยมแบบจีนที่ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ เทียบเท่าความคิดเหมา เจ๋อ ตุง และทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยว ผิง

การประชุมสมัชชาประชาชนจีนครั้งที่ 13 ที่จะมีการล้มเลิกระบบการนำแบบรวมหมู่ โดยการยกเลิกเพดานการอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกินสองสมัย เป็นการนำแบบรวมศูนย์ คือ การปราบดาภิเษก สี จิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุดเพียงผู้เดียวตลอดกาล


กำลังโหลดความคิดเห็น