xs
xsm
sm
md
lg

"สนธิรัตน์"ตั้ง7ทีมดันส่งออก-ชง”สมคิด”อนุมัติเป้าปีนี้6.5-7%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน 360 - “สนธิรัตน์” ตั้งคณะทำงาน 7 ภูมิภาค ทำแผนเป็นรายไตรมาส ทั้งช่วยแก้ไขปัญหา อุปสรรคทางการค้า และผลักดันการส่งออก เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เผยเอกชนยังกังวลเงินบาทแข็งค่า ปัญหาการกีดกันทางการค้า และต้นทุนโลจิสติกส์ จับตาประชุมทูตพาณิชย์ 19 ก.พ.นี้ ชง “สมคิด”พิจารณาเป้าส่งออกปี 61 โต 6.5-7% ขณะเดียวกันเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกจูงใจนักลงทุนต่างชาติ หวังยกระดับ Doing Business ไม่เกินอันดับที่ 20 เตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อวางกรอบกม.ใหม่เกี่ยวการทำธุรกรรมดิจิทัลในสัปดาห์หน้า

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับที่ปรึกษาประจำภูมิภาค (Regional Advisors) 7 ภูมิภาค ซึ่งมีตัวแทนจากภาคเอกชนรายใหญ่ที่ทำการค้าและลงทุนในตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ภูมิภาคอาเซียน ภูมิภาคแอฟริกา/ตะวันออกกลาง ภูมิภาคจีน ภูมิภาคสหรัฐ ภูมิภาคยุโรป ภูมิภาคเอเชียใต้ และภูมิภาคญี่ปุ่น เข้าร่วม เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกก่อนที่จะมีการประชุมผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าไทยในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั่วโลกในวันที่ 19 ก.พ.นี้ โดยจะมีการกำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 2561 และรับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเบื้องต้นยังยืนยันเป้าหมายส่งออกปีนี้จะต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่า 6%

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยขึ้นมาทั้ง 7 ภูมิภาค โดยแต่ละภูมิภาคจะประกอบด้วยตัวแทนจากภาคเอกชน ภาครัฐ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญแต่ละตลาดส่งออก เพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการ (แอคชั่น แพลน) ทุกไตรมาส ซึ่งจะเป็นทิศทางการส่งออกและการปรับตัวให้กับภาคเอกชน และแผนปฏิบัติการที่ได้จะมีการนำเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ประกอบด้วย รมว.พาณิชย์ ที่ปรึกษา 7 ภูมิภาค และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันผลักดันต่อไป

“เมื่อตั้งคณะทำงานชุดย่อยได้แล้ว จะมีการประชุมและเสนอแผนกลับมาในที่ประชุมชุดใหญ่ โดยแผนจะมีทั้งทิศทางการส่งออก ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องแก้ไข รวมทั้งแนวทางการปรับตัวของภาคเอกชน โดยหากปัญหาไหนเกี่ยวข้องกับกระทรวงอื่น ก็จะมีประสานไปยังกระทรวงที่รับผิดชอบให้ร่วมกันแก้ไขปัญหาให้กับภาคการส่งออก ซึ่งจะมีการกำหนดแผนทุกไตรมาส เพื่อทันกับสถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ปัญหาและอุปสรรคที่มีการเสนอในที่ประชุมครั้งนี้ แต่ละภูมิภาคเสนอปัญหาที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมกังวลเรื่องผลกระทบของค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งประเด็นดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ส่งสัญญาณไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทแล้ว และภาคเอกชนยังกังวลเรื่องมาตรการทางการค้า (เอ็นทีบี) ที่ประเทศทั่วโลกเริ่มใช้กันมากขึ้นในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตนเอง ซึ่งประเด็นมาตการเอ็นทีบีนั้น ตนมองว่าหากการแก้ไขปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้ในการเจรจาการค้าปกติ ก็ต้องใช้การเจรจาแบบพิเศษ หรือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังกังวลเรื่องศักยภาพโลจิสติกส์ของประเทศ ที่ยังมีต้นทุนการขนส่งสูง โดยเรื่องนี้ตนได้เสนอนายสมคิด ขอให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพการค้าโลจิสติกส์ (เทรด โลจิสติกส์) ในการผลักดันเทรด โลจิสติกส์ รองรับการส่งออกที่จะขยายตัวในอนาคตแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการมอบนโยบายของนายสมคิด ให้กับทูตพาณิชย์ในวันที่ 19 ก.พ. นั้น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะมีการเสนอเป้าหมายการส่งออกให้รองนายกรัฐมนตรีพิจารณา คาดว่าเบื้องต้นจะเสนอเป้าหมายการส่งออกปี 2561 ขยายตัวประมาณ 6.5-7%

สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมที่ปรึกษาด้านการส่งออก ประกอบด้วย บริษัทบีเจซี รับผิดชอบภูมิภาคอาเซียน บริษัทดับเบิ้ล เอ และบริษัทโตโยต้า ทูโช รับผิดชอบภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกกลาง เครือซีพีและ Loxley รับผิดชอบภูมิภาคจีน บริษัททียู รับผิดชอบภูมิภาคสหรัฐ เครือเซ็นทรัลรับผิดชอบภูมิภาคยุโรป ส่วนกลุ่มเอสซีจีรับผิดชอบภูมิภาคเอเชียใต้ และเครือสหพัฒน์รับผิดชอบภูมิภาคญี่ปุ่น

*** เพิ่มประสิทธิภาพบริการดึงทุนนอก
ในวันเดียวกันนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุม เรื่อง การยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษว่า ความสามารถและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของอาเซียนกำลังเป็นที่จับตามองของนานาประเทศ รวมถึงประเทศในโซนยุโรป โดยไทยมีการพัฒนาขีดความสามารถในด้านการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการลงทุนเป็นอันดับที่ 2 หรือ 3 ของอาเซียน เป็นที่จูงใจต่อชาวต่างชาติ หากไทยเตรียมความพร้อม แก้ไขปัญหา กฎระเบียบต่างๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน รวมถึงพัฒนารูปแบบการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน และเลือกส่งเสริมการลงทุนที่เหมาะสม ให้สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจแก่นักลงทุน เชื่อมั่นว่านักลงทุนจะสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ "นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย" ว่า รัฐบาลเตรียมจัดตั้งคณะทำงานอีก 1 ชุด ทำหน้าที่ในการวางกรอบกฏหมายใหม่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมดิจิทัลในอนาคต ซึ่งจะมีคำสั่งแต่งตั้งในสัปดาห์หน้า โดยมีตนเป็นประธานคณะกรรมการ และมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษา ซึ่งคณะกรรมการจะประกอบด้วย ตัวแทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ขณะเดียวกัน ในปี 61 นี้ รัฐบาลจะเร่งปรับปรุงและยกเลิกกฏหมายที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยตั้งเป้ายกเลิกกฏหมายที่ไม่จำเป็น 50% และปรับปรุงกฏหมายให้ดีขึ้นอีก 25% และคาดหวังผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก หรือ Doing Business ขยับมาอยู่ไม่เกินอันดับที่ 20 จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่อันดับ 26

โดยเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการทบทวนกฏหมายที่ล้าสมัยและสร้างภาระแก่ประชาชน ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยกลั่นกลองกฏหมายลูก หรือกฏหมายอื่นที่ออกโดยกระทรวง ซึ่งคาดจะสามารถจัดตั้งสำนักงานได้ในช่วงต้นปีหน้า และคาดจะเสนอให้ให้คณะคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแก้ไขกฏหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจในช่วงปลายเดือนก.พ. หรือไม่เกินกลางเดือนมี.ค.นี้ โดยหวังจะลดต้นทุนได้ถึง 4-5 หมื่นล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น