xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจแนวรบต้อนรับปีใหม่ (2)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


นักวิเคราะห์รัสเซียที่มองเห็น “กลียุคในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” กำลังก่อตัวอยู่ในคาบสมุทรเกาหลีขึ้นมารางๆ ก็คือ “นายโอเล็ก เบอร์มิสตรอฟ” (Oleg Burmistrov) เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงรัสเซียที่ได้ให้ความเห็นเอาไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังจากได้บวก-ลบ-คูณ-หาร คำนวณถึง “อัตราเสี่ยง” ซึ่งกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะความพยายามเพิ่มแรงกดดันของอเมริกาต่อเกาหลีเหนือ อย่างชนิดไม่คิดจะหาทางออก ทางเลือกอื่นใดเอาไว้เลย อันได้กลายเป็นตัวก่อให้เกิด “สภาวะแวดล้อมที่สามารถนำไปสู่สงครามโดยไม่ต้องมีการกระตุ้นเตือน หรือ...อุบัติเหตุสงคราม...ได้ทุกเมื่อ”...

เนื่องจากไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่เกาหลีเหนือจะยอมศิโรราบเอาง่ายๆ นั้นแทบมองไม่เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย ดังที่สำนักข่าวทางการเกาหลีเหนือ “Korean Central News Agency” ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันไว้ในช่วงส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “พรรค (The Worker’s Party) และรัฐบาลเกาหลีเหนือ ยังคงยืนยันจุดยืนว่าการปกป้องตัวเองด้วยการพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์นั้น คือกระดูกสันหลังมาตรการป้องกันของเกาหลีเหนือ ที่จะช่วยปกป้องมาตุภูมิของเราจากการคุกคามโดยสหรัฐฯ” แถมในแถลงการณ์ฉบับนี้ยังได้ระบุเอาไว้ด้วยว่า การทดสอบขีปนาวุธครั้งใหม่ของเกาหลีเหนือ จะยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้ ตราบใดที่อเมริกายังคงดำเนินการซ้อมรบอยู่ในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังแสดงความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นว่า “ไม่มีพลังอำนาจใดที่สามารถเอาชนะอิสรภาพและความยุติธรรมได้โดยเด็ดขาด” นี่...เรียกว่ารื้อสะพานถอยหลังทิ้งต่อหน้าต่อตาให้เห็นๆ กันไปเลย...

เพราะฉะนั้น...ตลอดปีนี้ทั้งปี บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นที่ต้องขนหัวลุกกันไปเป็นระยะๆ แต่ก็อย่าถึงกับต้องไปหูแหก ตาแหกกับ “ข่าวลวง” หรือ “ข่าวลือ” บางข่าว อย่างเช่นข่าวที่ “นายเจมส์ ริคคาร์ดส” (James Rickards) บรรณาธิการ “Strategic Intelligence” นักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และนักลงทุน ที่มีฐานะเป็นถึงที่ปรึกษาด้านตลาดทุนให้กับหน่วยงานข่าวกรองและสำนักเลขานุการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งออกมาสร้างความขนหัวลุกจนเกินเหตุ ด้วยการเตือนชาวอเมริกันทั้งหลายเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ว่าสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ อาจอุบัติขึ้นมาในช่วง 12 สัปดาห์นับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป หรือไม่เกินวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2018 แม้จะอ้างถึงฐานที่มาของข่าวโยงไปถึงผู้อำนวยการซีไอเออย่าง “นายไมค์ ปอมเปโอ” (Mike Pompeo) และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ “พลโทเอช.อาร์.แมกมาสเตอร์” (H.R. McMaster) แต่เท่าที่สำรวจตรวจสอบหลักคิด วิธีคิดดูแล้ว น่าจะออกไปทาง “คิดเอง-เออเอง” ซะมากกว่า...

อย่างไรก็ตาม...ขณะที่แนวรบในคาบสมุทรเกาหลียังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่จะตึงเครียดเพิ่มขึ้นไปโดยตลอด แนวรบด้านตะวันออกกลางที่เคยทำท่าว่าจะเบาๆ ลงมามั่ง หลังจากพวกผู้ก่อการร้ายไอเอสถูกถีบออกไปจากซีเรียและอิรัก ชนิดแทบจะหมดเกลี้ยงเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนรัสเซียและอิหร่านไปเป็นแถบๆ ฉากเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้บรรดาความเครียดทั้งหลายยังคงต้องเครียดต่อไป เผลอๆ...อาจยิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก นั่นก็คือการที่สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลได้หันมาสร้างบรรยากาศการเผชิญหน้าโดยตรงกับอิหร่าน ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมต่อต้าน “ภัยคุกคามจากอิหร่าน” เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา...

โทรทัศน์ช่อง 10 ของอิสราเอล รายงานเอาไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ว่า ทั้งวอชิงตันและเทลอาวีฟ ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงทางยุทธศาสตร์และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน หลังจากที่ได้มีการร่วมพบปะเจรจาระหว่างหน่วยข่าวกรองและเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา โดยมีที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ “พลโทเอช.อาร์. แมกมาสเตอร์” (H.R.McMaster) เป็นผู้นำฝ่ายอเมริกา และ “นายมีร์ เบน ชาบบาท” (Meir Ben Shabbat) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงอิสราเอล เป็นตัวแทนฝ่ายอิสราเอล จนนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงร่วมกันหลังจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ได้ปิดห้องคุยกับประธานาธิบดีอเมริกันและร่วมลงนามจัดตั้ง “กองกำลังผสม” ขึ้นมารับมือกับ “ภัยคุกคามอิหร่าน” อย่างเป็นกิจจะลักษณะ...

กองกำลังหรือหน่วยผสมที่ว่า...ประกอบด้วยทีมงาน 4 ทีมที่จะร่วมมือกันบั่นทอนพลังอำนาจในทุกๆ ด้านของอิหร่าน โดยทีมแรกจะรับผิดชอบในการยับยั้ง ตอบโต้บทบาททางทหารของอิหร่านในซีเรีย รวมทั้งเครือข่ายองค์กรเฮซบอลเลาะห์(Hezbollah) ในเลบานอน ขบวนการฮามาส (Hamas) ในปาเลสไตน์ ส่วนทีมที่สองรับผิดชอบด้านการทูตและข่าวกรอง หรือหนักไปทางหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหาทางทำลายความชอบธรรมในทุกๆ ด้านของอิหร่าน โดยเฉพาะความทะเยอทะยานในการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ทีมที่สามรับหน้าที่ตรวจสอบและสกัดกั้นความเคลื่อนไหวในการพัฒนาขีปนาวุธทุกรูปแบบของอิหร่าน โดยเฉพาะการเพิ่มความแม่นยำให้กับระบบขีปนาวุธแต่ละชนิด เพื่อไม่ให้ขีดความสามารถของอาวุธเหล่านี้ถูกแพร่กระจายเข้าไปยังซีเรีย เลบานอน และฉนวนกาซา สำหรับทีมสุดท้าย คือกองกำลังภาคพื้นดิน ที่เตรียมการเอาไว้สำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งที่ถูกยกระดับขึ้นมา ไม่ว่าจากอิหร่านโดยตรง หรือจากกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ และขบวนการฮามาสประมาณ “กองกำลังผสม” ที่ทำหน้าที่รบ-รุก-เร็ว อะไรประมาณนั้น...

พูดง่ายๆ ว่า...แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การประกาศสงครามอย่างไม่เป็นทางการ” กับอิหร่านนั่นเอง ไม่ต้องอาศัย “สงครามตัวแทน” แบบที่เคยทำในซีเรีย ลิเบีย หรือเยเมนอีกต่อไปแล้ว แต่พร้อมที่จะซดกันแบบหมัดต่อหมัด ซัดกันแบบ “สว่างจิต” ได้เสมอๆ ถ้าหาก “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ถึงพร้อมขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตาม แนวรบด้านตะวันออกกลาง...จึงไม่เพียงไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่มี “สันติภาพ” หลงเหลืออยู่เหมือนอย่างเคย แต่ยังสามารถจุดชนวนสงครามใหม่ๆ ได้ทุกเมื่อ ส่วนแนวรบที่เหลืออยู่อีกหนึ่งแนวรบ คือแนวรบยุโรปตะวันออก จะเป็นไปในแบบไหน อย่างไร คงต้องไปตามต่อในวันพรุ่งนี้อีกที...


กำลังโหลดความคิดเห็น