xs
xsm
sm
md
lg

เปลี่ยนไปฟัง “ทรัมป์บ้า” ระบายลมผ่าน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา</b>
ไหนๆ...เท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าใครๆ ในบ้านเรา มีแต่ต้องได้ฟังท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ท่านพูดให้ฟัง ชนิดหูห้อย หูชามาโดยตลอดเพื่อพอได้เปลี่ยนๆ บรรยากาศ วันนี้...เลยลองชวนไปฟัง “ทรัมป์บ้า” ระบายลมผ่านกันดูซักนิด เนื่องในวาระที่ประธานาธิบดีอเมริกา เขาต้องออกมาป่าวประกาศ “ยุทธศาสตร์ชาติ” หรือ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติครั้งใหม่” ตามระเบียบ กำหนดการ หรือตามประเพณีที่ได้เคยประพฤติ ปฏิบัติกันมา...

คำแถลง หรือสุนทรพจน์ว่าด้วย “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา” คราวนี้ ว่ากันว่า...ถึงกับใช้เวลายกร่างเตรียมการกันมาถึง 11 เดือน และเพิ่งนำมาเผยแพร่เมื่อช่วงวันจันทร์ (18 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ซึ่งโดยรวมๆ แล้ว...ก็คงไม่ถึงกับมีอะไรใหม่ คือเป็นสิ่งที่วนไป-วนมาอยู่กับคำพูดและการแสดงออกของ “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าการหันมาเน้น “ผลประโยชน์อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีผู้นี้พยายามย้ำนักย้ำหนาว่า “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจคือความมั่นคงแห่งชาติ” ก่อนหันไปแว้งงับประธานาธิบดีคนก่อนๆ ว่ามัวแต่สร้างผลประโยชน์ให้กับชาติอื่นๆ ในฐานะผู้นำโลก แต่กลับทำลายตำแหน่งงานและความมั่งคั่งของสหรัฐฯ อันนำมาซึ่งความเสื่อมโทรม ความผิดหวังต่อผู้คนชาวอเมริกันเป็นจำนวนไม่น้อย...

ด้วยเหตุนี้...นอกจากสัญญาว่าจะปรับลดภาษี เปลี่ยนกฎระเบียบกลับไปฟื้นฟูการก่อสร้างสาธารณูปโภค ไม่ว่าถนนหนทาง สะพาน รถไฟ การสื่อสาร รวมทั้งที่ทิ้งไม่ได้คือ “กำแพงสหรัฐฯ-เม็กซิโก” ไปพร้อมๆ กับการปฏิรูประบบและกฎหมายเข้าเมืองของสหรัฐฯ ซะใหม่ “ทรัมป์บ้า” ยังได้หันเป้าไปที่รัสเซียและจีน ที่ไม่เพียงแต่ถือเป็น “อำนาจแข่งขัน” ที่เป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ ไม่ว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ไปจนถึงความเป็นผู้นำโลก (Hegemony) ต่อสหรัฐฯ เท่านั้น ยังถึงกับใช้คำเรียกขานทั้งสองประเทศนี้ว่า “Revisionist Power” หรือพลังอำนาจของพวก “ลัทธิแก้” อะไรทำนองนั้น คือมุ่งที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่เคยทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ เกรียงไกรมาโดยตลอด หรือ “มุ่งที่จะปรับเปลี่ยนโลกให้เป็นไปในด้านตรงกันข้ามกับผลประโยชน์และคุณค่าแห่งความเป็นอเมริกา” นั่นเอง...

ไม่ว่าในเอกสารและคำแถลงทางยุทธศาสตร์ที่ว่านี้...เลยหันไปวาดภาพ สร้างภาพ รัสเซียและจีนให้ดูน่าเกลียด น่ากลัวมิใช่น้อย ไม่ว่าสำหรับชาวอเมริกันหรือและชาวโลกทั้งหลาย ทั้งในฐานะผู้พยายาม “ท้าทายบทบาทอิทธิพล คุณค่าและความมั่งคั่งของอเมริกา” ผู้ที่พยายาม “ต่อต้านและแทรกแซงระเบียบโลก” อันมีอเมริกาเป็นผู้นำ โดยการโฆษณาถึง “ระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจ” (Multipolar World Order) ผู้ที่พยายาม “เปลี่ยนแปลงแก้ไขระบบการเงินโลก ที่เคยอาศัยสถานะพิเศษของเงินสกุลดอลลาร์เป็นตัวค้ำยัน ในลักษณะไม่ต่างไปจากทุนสำรองของโลกและพลังงานที่ช่วยขับเคลื่อนการค้าๆ ขายๆ” ไปจนกระทั่งผู้ที่ “ไม่ได้ยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม แต่มุ่งนำเอาผลประโยชน์ต่างๆ ไปสร้างความเติบโตทางทหาร สร้างระบบสังคมที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมในแต่ละด้าน และเพื่อขยายอำนาจอิทธิพลของตัวเองเป็นหลัก...” ฯลฯ ฯลฯ...

ด้วยเหตุนี้...อเมริกาจึงต้องพยายามดำรงรักษาบทบาท และขยายอิทธิพลของอเมริกา ด้วยการหันมาฟื้นฟูความมั่งคั่งให้กับตัวเองเป็นอันดับแรก หรือหันมา “เห็นแก่ตัว” ซะก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะนำเอาผลประโยชน์แห่งความเห็นแก่ตัวเหล่านี้ไปเสริมสร้างพัฒนาความทันสมัยให้ “กองทัพอเมริกา” ได้แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เลิกการตัดสินใจลดงบประมาณทางทหาร รวมทั้งสัญญาที่จะขจัดความเสียหายอันเนื่องมาจากการปรับลดงบประมาณป้องกันประเทศ อย่างที่เคยมีมาแต่ก่อนๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ถือว่า ตั้งอยู่บน “หลักแห่งความเป็นจริง” เช่นนี้ “ทรัมป์บ้า” เลยลุกขึ้นมาประกาศแบบเสียงดังฟังชัดว่า... “เราขอประกาศว่า อเมริกาได้กลับมาอยู่ในเกม และเรากำลังจะชนะ...”

นี่...เป็นไงทั่น!!! ฟังแล้วพอจะสู้กับ “ยุทธศาสตร์ 4.0” ของ “บิ๊กตู่” บ้านเราได้หรือไม่??? แต่เอาเป็นว่า...เพื่อไม่ให้ต้องหูห้อย หูชา หรืออาจแถมต้องปวดเศียร เวียนเกล้ามากมายจนเกินไป ลองหันไปฟังคุณพี่จีน ในฐานะ “ผู้ถูกกล่าวหา” ที่ได้ลุกขึ้นมาตอบโต้แบบทันที-ทันใด ไล่มาตั้งแต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน คุณ “หัว ชุนหยิง” (Hua Chunying) ที่ได้ออกมาสรุปว่า การที่สหรัฐฯ ได้มอบฐานะ “Revisionist Power” หรือ “Revisionist State” ให้กับจีนนั้น น่าจะมีที่มาจาก “ทัศนคติที่สุดแสนจะล้าสมัย” อันตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดแบบ “Zero-Sum-Game” หรือเมื่อมีผู้ได้ต้องมีผู้สูญเสียอะไรประมาณนั้น ซึ่งต่างไปจากทัศนะของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ ที่มองว่าความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย ย่อมสามารถนำไปสู่การได้ประโยชน์แบบ “Win-Win Outcomes” ดังนั้น... “เราอยากเตือนให้อเมริกาหยุดเผยแพร่การบิดเบือนเจตนารมณ์ทางยุทธศาสตร์ของจีน และจงละทิ้งแนวคิดที่พ้นสมัย อันเคยมีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นลงไปเสียเถิด ก่อนที่จะไม่มีผู้ได้ใดๆ เลยมีแต่ผู้ที่ต้องสูญเสียไปด้วยกันทั้งสิ้น...”
<b>นางหัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน</b>
ส่วนสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน สรุปไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความมิใช่น้อย คือสรุปว่า “ถือเป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวอย่างชนิดสมบูรณ์แบบ อันจะนำไปสู่ความโดดเดี่ยว การเผชิญหน้า และการทำลายความร่วมมือของประเทศทั้งสอง” ไม่ต่างไปจากสำนักข่าว “ซินหัว” ที่ได้ออกมาปิดท้าย ด้วยข้อความแบบสละสลวยและแสบๆคันๆ เช่น “โวหารของทรัมป์ครั้งนี้...มีแต่จะทำให้เกิดการขยายช่องว่างความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันและกัน รวมทั้งยังเป็นตัวเพิ่มอุปสรรคระหว่างความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับจีนและรัสเซีย” และ “ความพยายามมุ่งแต่จะรักษาผลประโยชน์ให้กับชาติตัวเองโดยไม่ตระหนักถึงความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ว่ากรณีการถอนตัวจากข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขภาวะโลกร้อน การประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นนครหลวงอิสราเอล ไม่เพียงแต่ทำให้ความปรารถนา ความต้องการ อันปรากฏอยู่ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ คราวนี้ ไม่อาจเป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังอาจนำมาซึ่งผลกระทบย้อนกลับในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจากบูมเมอแรงนั่นเอง...” ก็เอาเป็นว่า...ใครเชียร์ “ทรัมป์” เชียร์ “จีน” คงต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง แต่อย่างน้อย...คงพอได้หาย “เมื่อยหู” จากการต้องนั่งฟัง “บิ๊กตู่” ไปโดยตลอดได้มั่ง...
กำลังโหลดความคิดเห็น