วานนี้ (20 พ.ย.) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง นำโดย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ได้ประชุมรับฟังความคิดเห็นนัดแรก โดยเชิญตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าให้ข้อมูล ซึ่ง นายเอนก กล่าวว่า การเชิญนักการเมืองเข้าให้ความเห็น เพราะวันข้างหน้าจะต้องเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง โดยการปฏิรูปการเมืองไม่ได้สิ้นสุดแค่วันเลือกตั้ง ซึ่งการจัดทำแผนน่าจะเร็ว เพราะไม่ได้เริ่มนับหนึ่งใหม่ โดยรัฐบาลทำมาแล้วส่วนหนึ่ง สนช.ออกกฎหมายแล้วหลายฉบับ กรธ. มีการยกร่างรธน. และกฎหมายหลายฉบับ ดังนั้น ร่างแรกคาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนธ.ค. หลังจากนั้นจะส่งให้กับคณะกรรมการปฏิรูปทุกชุด ให้พิจารณาว่าเนื้อหาขัดกับแผนปฏิรูปด้านอื่น หรือไม่ เมื่อปรับแล้วเสร็จก็จะส่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติฯ ครม.และสภาฯ พิจารณา ทุกอย่างจะเรียบร้อยภายในเดือนเม.ย.
ส่วนการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมตามแผนจะเขียนผูกมัดให้หน่วยราชการต้องทำ รัฐบาลมีหน้าที่ติดตามว่า ทำตามแผนหรือไม่ หากไม่ทำอาจต้องถูกลงโทษ ส่วนหน่วยงานอื่นจะประสานให้ดำเนินการเช่นกัน และรัฐบาลก็มีหน้าที่จัดงบประมาณให้เพียงพอ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ ก็จะคอยติดตาม ประเมินผล และทำรายงานเสนอเป็นระยะ เชื่อว่าการปฏิบัติตามแผน 5 ปี จะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมได้
ด้านนายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า การปฏิบัติตามแผนปฏิรูปฯ ที่รธน.กำหนดว่าต้องทำภายใน 5 ปี เป็น 5 ปี ของการเปลี่ยนผ่าน แต่การเมืองที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ดังนั้นการจะนับความสัมฤทธิ์ผลตามแผน จะนับอย่างไร รวมคิดว่า 5 ประเด็นปฏิรูป ที่ตั้งเป็นเป้าหมายไม่เพียงพอต่อการปฏิรูป อย่างเรื่องการกระจายอำนาจ แม้ไม่อยู่ในหมวดปฏิรูป แต่ควรทำ เพราะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ทำแล้วจะทับซ้อนกับการปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่ และในการทำงานควรทำเรื่องใดก่อน เช่น การกำหนดการเลือกตั้งมาก่อนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งตนเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับประชาชนมีส่วนร่วมก่อน เพราะจะทำให้เกิดการเลือกตั้งสุจริต ไม่ซื้อเสียง หรือการสร้างรัฐธรรมาธิปไตย ซึ่งตนก็ยังไม่เข้าใจ
"อย่างเรื่องปรองดอง ก็เห็นว่าควรทำก่อนการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีการปรองดอง การเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเลือกตั้งมีปัญหา การฟอร์มรัฐบาลมีปัญหา ประชาชนจะมีความรู้สึกที่ดีต่อการเมืองได้อย่างไร ทุกอย่างเหมือนโดมิโน ถ้าล้มไปข้างหลัง ก็ทับกลับหลัง โดยการปรองดอง มี 2 ประเด็นคือ ปรองดองอย่างไร และปรองดองเมื่อไร แต่ไม่เชื่อว่าพรรคการเมืองจะปะทะกันตอนเลือกตั้ง ความปรองดองจึงต้องทำก่อน "นายนิกร กล่าว
ทั้งนี้ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ที่คณะกรรมการปฏิรูปฯ วางกรอบไว้ประกอบด้วย 5 เรื่อง คือ 1. การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศ 2. การสร้างรัฐธรรมาธิปไตย 3. การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. กลไกการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี และ 5. การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดสรรทรัพยากร ที่เป็นธรรม
ส่วนการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมตามแผนจะเขียนผูกมัดให้หน่วยราชการต้องทำ รัฐบาลมีหน้าที่ติดตามว่า ทำตามแผนหรือไม่ หากไม่ทำอาจต้องถูกลงโทษ ส่วนหน่วยงานอื่นจะประสานให้ดำเนินการเช่นกัน และรัฐบาลก็มีหน้าที่จัดงบประมาณให้เพียงพอ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ ก็จะคอยติดตาม ประเมินผล และทำรายงานเสนอเป็นระยะ เชื่อว่าการปฏิบัติตามแผน 5 ปี จะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมได้
ด้านนายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า การปฏิบัติตามแผนปฏิรูปฯ ที่รธน.กำหนดว่าต้องทำภายใน 5 ปี เป็น 5 ปี ของการเปลี่ยนผ่าน แต่การเมืองที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ดังนั้นการจะนับความสัมฤทธิ์ผลตามแผน จะนับอย่างไร รวมคิดว่า 5 ประเด็นปฏิรูป ที่ตั้งเป็นเป้าหมายไม่เพียงพอต่อการปฏิรูป อย่างเรื่องการกระจายอำนาจ แม้ไม่อยู่ในหมวดปฏิรูป แต่ควรทำ เพราะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ทำแล้วจะทับซ้อนกับการปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่ และในการทำงานควรทำเรื่องใดก่อน เช่น การกำหนดการเลือกตั้งมาก่อนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งตนเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับประชาชนมีส่วนร่วมก่อน เพราะจะทำให้เกิดการเลือกตั้งสุจริต ไม่ซื้อเสียง หรือการสร้างรัฐธรรมาธิปไตย ซึ่งตนก็ยังไม่เข้าใจ
"อย่างเรื่องปรองดอง ก็เห็นว่าควรทำก่อนการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีการปรองดอง การเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเลือกตั้งมีปัญหา การฟอร์มรัฐบาลมีปัญหา ประชาชนจะมีความรู้สึกที่ดีต่อการเมืองได้อย่างไร ทุกอย่างเหมือนโดมิโน ถ้าล้มไปข้างหลัง ก็ทับกลับหลัง โดยการปรองดอง มี 2 ประเด็นคือ ปรองดองอย่างไร และปรองดองเมื่อไร แต่ไม่เชื่อว่าพรรคการเมืองจะปะทะกันตอนเลือกตั้ง ความปรองดองจึงต้องทำก่อน "นายนิกร กล่าว
ทั้งนี้ แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ที่คณะกรรมการปฏิรูปฯ วางกรอบไว้ประกอบด้วย 5 เรื่อง คือ 1. การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศ 2. การสร้างรัฐธรรมาธิปไตย 3. การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. กลไกการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี และ 5. การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดสรรทรัพยากร ที่เป็นธรรม