xs
xsm
sm
md
lg

‘สมคิด’เล็งดึงงบท้องถิ่นหนุนศก.ฐานราก ดันจีดีพี61โต4-5%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

"สมคิด" มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะโตได้ระดับ 4-5% สดใสกว่าปีนี้แน่นอน หารือทีมเศรษฐกิจแล้วเตรียมเพิ่มสภาพคล่องให้กับประชาชนระดับฐานราก จ่อดึงงบ “อปท.” 2 แสนล้านบาท ธกส. หนุนเต็มพิกัด พร้อมเร่งเครื่องลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซีอีก 1.5 ล้านล้านบาท ด้าน “สนธิรัตน์” จี้พาณิชย์จังหวัด เพิ่มร้านค้าประชารัฐ รองรับบัตรสวัสดิการคนจน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมนา THAILAND 2018ว่า ในปี 2561 หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) มีโอกาสจะเห็นได้โตระดับ 4-5% ซึ่งจะถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่สดใสกว่าปี 2560 ที่หลายหน่วยงานเห็นสอดคล้องกันว่า GDP ปีนี้จะโตได้ระดับ 3.8% โดยในปีหน้านั้นจำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการ 3 ด้านเพื่อสร้างการเติบโตได้แก่ 1.การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 2.การเดินหน้าในลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ และ 3.การเตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล

สำหรับแนวทางเบื้องต้นได้หารือกับทีมเศรษฐกิจว่าจะดำเนินการในปี 2561 คือการเร่งเสริมสร้างสภาพคล่องให้กับประชาชนในระดับฐานราก เพื่อให้เกิดการจ้างงานและมีเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระดับท้องถิ่น โดยมีแนวคิดจะนำเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีงบประมาณ 2 แสนล้านบาท นำมาจ้างงาน ส่งเสริมให้เกิดวิสาหกิจชุมชน และการท่องเที่ยวระดับชุมชน โดยให้ อปท.เป็นหน่วยงานหลักในการเสนอโครงการที่ดีๆ เข้ามา

นอกจากนี้จะสั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้การสนับสนุนด้วยการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกข้าวในพื้นที่ของตนเอง พร้อมทั้งจะนำผลผลิตที่ได้มาจำหน่ายผ่านร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ประชาชนในระดับชุมชนได้เข้าถึงการค้าขายสินค้าชุมชนผ่านตลาดออนไลน์(อีคอมเมิร์ซ) มากขึ้น โดยเรื่องนี้จะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการ

นายสมคิดยังกล่าวถึงการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในปี 2561 จะมีทิศทางที่เติบโตมากขึ้นกว่าในปีนี้เนื่องจากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) จะมีการเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยปี 2561 จะมีงบในส่วนนี้มากกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เช่น รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด เป็นต้น โดยคาดว่าจะเห็นการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากจีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง หรือไต้หวัน

" ปี'61ยังเชื่อมั่นว่าทิศทางการส่งออกของไทยในปีหน้ายังมีแนวโน้มที่ดี และจะต้องพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ซึ่งรัฐบาลจะผลักดันทั้งการติดตั้งอินเตอร์เน็ตหมู่บ้านให้ครบทุกหมู่บ้าน รวมไปถึงระดับโรงเรียน วัด และสาธารณสุข เพื่อต้องการให้เข้าถึงการศึกษาด้วย ขณะเดียวกันการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Payment รวมถึงการสื่อสาร การค้าขาย และระบบโลจิตติกส์ จะส่งเสริมให้มีการใช้ระบบดิจิตัลให้มากขึ้น" นายสมคิดกล่าว

" โอกาสสามารถใช้การเมืองเข้ามาสร้างสรรค์ แต่ถ้ามีแต่การเมืองเชิงทำลาย มือ 2 ข้างสามารถสร้างโอกาสก็ได้และสามารถทำลายโอกาสก็ได้ เพราะฉะนั้นขอให้มีสติ เพราะปีหน้าเป็นปีที่สำคัญ ไม่ใช่ปีแห่งการห้ำหั่นกัน ต้องสามัคคีกัน ก้าวข้ามให้ได้"นายสมคิดกล่าว

*** มั่นใจ “อีอีซี” ดังเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ

นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานโครงการสานพลังประชา กล่าวว่า EEC ปัจจุบันเป็นโครงการสำคัญของไทย จะดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ภาครัฐจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เมื่อแล้วเสร็จจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจประเทศอย่างมากซึ่งการพัฒนานอกจากโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เรื่องเทคโนโลยี กฎระเบียบด้านกฎหมายก็เป็นสำคัญ อีอีซีครั้งนี้เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญแค่อุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวและการเกษตรเชื่อมโยงกันด้วย

" เอกชนควรลงทุนอย่างมากเพราะรัฐได้ส่งเสริมการลงทุนให้สิทธิประโยชน์ค่อนข้างสูงปี 2561 โอกาสประเทศเปิดจริงๆ ขอแค่ให้การเมืองนิ่ง ถึงปลายปีที่จะเลือกตั้ง ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกันให้บ้านเมืองสงบ ถ้าทุกอย่างไปได้ดี จีดีพีโต 4% จะเป็นไปได้จริง" นายกานต์กล่าว

*** “สนธิรัตน์”จี้พาณิชย์จังหวัดเพิ่มร้านค้าประชารัฐ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมทางไกล (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) กับพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เรื่องธงฟ้าประชารัฐ ว่า มอบนโยบายให้พาณิชย์จังหวัดในการให้บริการผ่านธงฟ้าประชารัฐกับผู้ถือบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ในเฟส 3 เน้นการสร้างความพึ่งพอใจผู้ถือบัตรผู้มีรายได้น้อย โดยให้พาณิชย์จังหวัดออกสำรวจและเสนอความต้องการของผู้ถือบัตรฯ ตั้งแต่ ควรเพิ่มจำนวนร้านค้าประชารัฐในพื้นที่ใดอีกบ้างเพื่อลดปัญหาแออัดการใช้บริการหรือการรอคิวนานเกินไป ระยะทางเดินทางกับร้านค้ามากเกิน 20 กิโลเมตร ความพอใจต่อราคาสินค้าหรือรายการสินค้าแค่ไหน เพื่อนำมาปรับรุง เน้นการเพิ่มสินค้าชุมชน เช่น ข้าวสาร น้ำปลา กะปิ ผักสดที่มีการผลิตในท้องถิ่น เพื่อการเพิ่มรายได้ท้องถิ่น

"หากต้องการร้านค้าเพิ่มให้แจ้งมา โดยเป้าหมายแรกกำหนดมีร้านธงฟ้า 1.8 หมื่นแห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ จะครบในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ปัจจุบันมีแล้ว 1.2 หมื่นแห่ง เบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอรัฐบาลขออนุมัตเพิ่มจำนวนร้านค้าและงบประมาณใช้ในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร รวมถึงใช้รถเคลื่อนที่ธงฟ้าในการลดความแออัดและเข้าถึงแหล่งชุมชนห่างไกล ที่มีเป้าเพิ่มเป็น 300 คันจาก 90 คัน โดยให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนพฤศจิกายยนี้ ก่อนขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อไป" นายสนธิรัตน์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น