xs
xsm
sm
md
lg

ซาอุฯ กับ “อิสลามสายกลาง” (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นายทาเมอร์ อัล-ซาบาน อดีตเอกอัครราชทูตซาอุฯ</b>
ด้วยลักษณะที่ออกไปทาง “สุดโต่ง” ของลัทธิวะฮ์ฮาบีมาตั้งแต่แรกนี่เอง ที่อาจถือเป็นคำตอบ คำอธิบายได้ว่า เหตุใดราชอาณาจักรซาอุฯ จึงได้มีเส้นสายโยงใยกับบรรดาพวก “มุสลิมหัวรุนแรง” หรือบรรดาผู้ที่ถูกเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” ในยุคปัจจุบันเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่ว่ากลุ่ม “ภารดรภาพมุสลิม” (Muslim Brotherhood) กลุ่มก้อนองค์กร “อัลกออิดะห์” (Al-Qaeda) กลุ่มผู้ที่คิดจะก่อตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ขึ้นมาในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างพวก “ไอซิล” (The Islamic State of Iraq and Levant-ISIL) หรือ “ไอซิส” (The Islamic State of Iraq and Syria-ISIS) หรือที่เรียกกันในภาษาอาหรับว่าพวก “ดาเอช” (Daesh) นั่นเอง ฯลฯลฯ...

และแม้ว่าพวกไอซิส ไอซิล หรือดาเอช...จะพ่ายแพ้หมดรูป หมดประตูสู้ ไม่ว่าในซีเรียและอิรักในทุกวันนี้ก็ตาม จนทำให้ราชอาณาจักรซาอุฯ ต้องหันไปจูบปากกับรัสเซียบ้าง หันมาแสดงทีท่าว่าอยากฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับประเทศ “คู่กัด” อย่างอิหร่านบ้าง หรือหันมาป่าวประกาศว่ากำลังคิดเปลี่ยนประเทศไปสู่ความเป็น “อิสลามสายกลาง” บ้าง แต่ถ้าหากใครที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียนของ “Whitney Webb” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “MintPress News” ว่าด้วยเรื่อง “สหรัฐฯ อนุญาตให้ซาอุดีอาระเบียหว่านเมล็ดพืชวะฮ์ฮาบีในซากปรักหักพังแห่งเมืองรักกา” (US Allows Saudi Arabia Plant Wahhabi Seed in Raqqa Rubble) ก็พอจะเข้าใจได้โดยทันที ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ความเป็น “อิสลามสายกลาง” ของซาอุฯ นั้น เป็นไปในรูปไหนกันแน่!!!

โดยสรุปคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า...หลังจากพันธมิตรรัสเซีย-อิหร่าน-ซีเรีย ได้ยึดพื้นที่ประเทศซีเรียกลับคืนมาได้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วนั้น แต่ยังเหลือพื้นที่บริเวณเมืองรักกาที่กองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรีย (Kurdish-dominated Syria Democratic Force-SDF) ซึ่งสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน สามารถบุกเข้ายึดพื้นที่แห่งนี้จากพวกผู้ก่อการร้ายไอซิส โดยมีเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือ และเมื่อถึงคราวที่จะต้องฟื้นฟูบูรณะเมืองแห่งนี้จากซากปรักหักพังให้กลับมาเป็นเช่นเดิม ด้วยการส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวให้กับรัฐบาลซีเรีย กองกำลัง SDF กลับหันมาจัดตั้ง “สภาท้องถิ่น” (Local Council) ขึ้นมาดูแลรับผิดชอบกันแทนที่ โดยหันไปพึ่งพาความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลซาอุฯ ที่ได้ส่งตัวแทนชื่อว่า “นายทาเมอร์ อัล-ซาบาน” (Thamer Al-Sabhan) อดีตเอกอัครราชทูตซาอุฯ ในอิรักซึ่งเคยออกอาการ “สุดโต่ง” เอามากๆ โดยเฉพาะในกรณีการต่อต้านรัฐบาลอิหร่านและชาวชีอะห์ ชนิดถึงกับเคยป่าวประกาศไว้ว่า... “การขจัดการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ...สามารถขจัดกวาดล้างระบอบปกครองอันธพาลของอิหร่านลงไปซะก่อน...” มาเป็นผู้เจรจาฟื้นฟูบูรณะเมืองรักกาโดยมีสหรัฐฯ ให้การหนุนหลังอย่างเหนียวแน่น...

ด้วยเหตุนี้...จึงทำให้ผู้นำซีเรียอย่างประธานาธิบดี “บาชาร์ อัล-อัสซาด” เลยต้องออกมาบอกกับผู้สื่อข่าวเอพีไว้ล่วงหน้าว่า “รัฐบาลซีเรียพร้อมที่จะสนับสนุนทุกฝ่ายที่ปลดปล่อยเมืองรักกาจากการยึดครองของผู้ก่อการร้าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การปลดปล่อยนั้น...เป็นไปเพื่อให้อเมริกาหรือตัวแทนใดๆ เข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่นี้ หรือเพื่อให้ผู้ก่อการร้ายกลุ่มอื่นเข้ามายึดครองกันแทนที่” และทำให้ผู้สื่อข่าวอย่าง “Whitney Webb” ต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ประมาณว่า “การฟื้นฟูบูรณะเมืองรักกา โดยให้ผู้ซึ่งเคยช่วยเหลือพวกผู้ก่อการร้ายอย่างไอซิส หรือดาเอชมาก่อน อย่างรัฐบาลซาอุฯ เป็นผู้ให้การอุดหนุนอีกทั้งตัวแทนรัฐบาลซาอุฯ อย่าง อัล-ซาบาน ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับใครก็ตามที่เลื่อมใสในลัทธิวะฮ์ฮาบี การกระทำเช่นนี้...จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการปล่อยให้เมืองๆ นี้ ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการก่อการร้ายแบบเดิมๆ นั่นเอง...”
<b>ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย</b>
สรุปเอาเป็นว่า...ไปๆ-มาๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่า “อิสลามสายกลาง” ของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MBS” นั้น ไม่ว่าจะดูน่าตื่นเต้น เร้าใจ เต็มไปด้วยสีสัน บรรยากาศพอๆ กับการเชิญชวนให้ใครต่อใครลงทุนในตลาดหุ้น (คือแบบต้องพูดหวัดๆ เอาไว้ในตอนท้ายๆ ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ใครที่คิดจะเล่นหุ้นคงต้องไปรับผิดชอบกันเอาเองอะไรประมาณนั้น) ก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “ความสุดโต่งแบบซ่อนรูป” นั่นเอง ความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ของรัฐบาลซาอุฯ ความคิดริเริ่มใหม่ๆ ของว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งซาอุฯ จึงไม่ได้มีส่วนช่วยให้บรรยากาศในภูมิภาคแห่งนี้ลดความตึงเครียด เกิดแนวโน้มแห่งสันติภาพ สันติธรรมขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่ผู้ซึ่งนับถือศาสนาใดๆ ยังไม่สามารถ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อแก่นสาระที่แท้จริงของศาสนานั้นๆ ได้แล้ว ตราบนั้นความขัดแย้งและ “สงคราม” ยังหนีไม่พ้นต้องดำเนินต่อไป จนกว่า “สันติภาพที่แท้จริง” จะอุบัติขึ้นใน “จิตใจ” ของผู้ซึ่งเลื่อมใส ศรัทธา ในศาสนานั้นๆ นั่นแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น