xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สงฆ์ไทย : ความจริงและความหวัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

วงการสงฆ์ไทยในยุคปัจจุบันมีสภาพปัญหาหนักหนาสาหัสยิ่งนัก มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อความศรัทธาของประชาชนอย่างลึกซึ้งรุนแรง ทั้งที่วงการสงฆ์ควรเป็นอาณาบริเวณที่ปกคลุมด้วยศีลธรรมจรรยาเหนือกว่าวงการทางโลก ทว่าความเป็นจริงกลับหาได้แตกต่าง ซ้ำร้ายในบางมิติกลับหนักหน่วงยิ่งกว่า

พฤติกรรมละเมิดศีลธรรม พระธรรมคำสอนของศาสดา บรรทัดฐานสังคม และกฎหมายของสงฆ์เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้จากประสบการณ์ตรงได้ไม่ยากนัก หากเดินเข้าไปเฝ้าดูในวัดหรือเข้าร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาของวัด

ส่วนการรับรู้จากประสบการณ์ทางอ้อมจากสื่อมวลชน สื่อสังคม และคำบอกเล่าของคนอื่นๆ ก็มีให้ได้เห็นและได้ยินอย่างสม่ำเสมอ

การทุจริตเงินทอนวัด เป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งของความเลวร้ายในวงการสงฆ์ อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างข้าราชการของสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติกับสงฆ์บางรูปบางกลุ่ม การทุจริตเป็นการละเมิดทั้งศีลธรรมและกฎหมาย แต่กลับเป็นพฤติกรรมที่กระทำกันจนเป็นปกติวิสัย ซึ่งแสดงว่าแบบแผนความคิดของการทุจริตถูกผนึกและฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้กระทำ จนทำให้พวกเขาเกิดภาพซ้อนทางความคิดแยกไม่ออกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

การผลิต โฆษณาและจำหน่ายเครื่องรางของหลัง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สงฆ์และวัดจำนวนมากในสังคมไทยกระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เปิดเผย ต่อเนื่องยาวนาน ราวกับว่าการกระทำสิ่งเหล่านั้นถูกต้องชอบธรรมตามหลักศาสนา บางวัดอ้างว่านำเงินที่ได้มาจากจัดจำหน่ายวัตถุทางความเชื่อไปหล่อเลี้ยงพระ เณร ชี ที่อยู่ในวัด แต่การอ้างแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้อง เพราะว่านักบวชของศาสนาพุทธนั้นควรยังชีพด้วยการเดินบิณฑบาตเป็นหลัก ตามวัตรปฏิบัติของศาสดา หาใช่ประกอบธุรกิจหรืออาชีพหาเงินเลี้ยงชีวิตดังคนทั่วไป

ยศถาบรรดาศักดิ์ อันเป็นสมมติที่ทางโลกกำหนดขึ้นมาแล้วประเคนให้แก่สงฆ์ ทำให้สงฆ์หลายรูปหลงใหลและจมอยู่ในลาภสักการะนั้น บางรูปยึดติดจนลืมสถานภาพความเป็นสงฆ์ มีการเฉลิมฉลองการครอบครองยศถาบรรดาศักดิ์นั้นเสียใหญ่โต ชักนำอบายมุขมาสู่แดนพิสุทธิ์ ให้แปดเปื้อนด้วยอาจม หากพิจารณาด้วยสติปัญญาและหลักคำสอนของศาสนาแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ชาวโลกประเคนให้นั้น เป็นเพียงบททดสอบทางจิตอย่างหนึ่ง แต่ดูเหมือนสงฆ์หลายรูปจะสอบไม่ผ่าน

ที่แย่กว่านั้นคือสงฆ์กลายเป็นเครื่องมือของการอำพรางความเป็นอาชญากร ด้วยอาชญากรจำนวนไม่น้อยอาศัยสถานภาพของความเป็นสงฆ์ซ่อนเร้นอำพลางตนเอง หรือไม่ก็อาศัยความเป็นสงฆ์เป็นบันไดไต่เต้าสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ตนเองและเครือญาติพวกพ้อง สิ่งเหล่านี้ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอจนกระทั่งพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเอือมระอาไปตามๆกัน

สิ่งที่น่าสนใจคือสงฆ์ไทยมีพัฒนาการมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมคิดว่าเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งคือความอ่อนแอขององค์การบริหารคณะสงฆ์ไทย หรือที่เรารู้จักกันในนามมหาเถรสมาคมนั่นเอง ที่ไร้สมรรถภาพในการจัดการกับสงฆ์นอกรีต ปล่อยปละละเลยให้ผู้มีความประพฤติไม่เหมาะสมให้ดำรงอยู่สร้างความแปดเปื้อนแก่วงการสงฆ์อย่างต่อเนื่อง

อีกประการคือ ความอ่อนแอทางจิตใจและปัญญาของคนไทย มีคนไทยจำนวนมากที่มีสภาพจิตใจอ่อนแอ จิตใจที่อ่อนแอของคนไทยมีหลายมิติ อย่างแรกคือการกลัวเกรงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่นกลัวดาวบาปเคราะห์บ้าง กลัวดวงไม่ดีบ้าง กลัวผีบอปบ้าง กลัวไม่ได้บุญบ้าง อย่างที่สองคือ ความเพ้อฝันอยากมีอยากได้ ทั้งในสิ่งที่อยู่ในโลกของจินตนาการ เช่น การขึ้นสวรรค์ และโลกทางวัตถุ เช่นความร่ำรวยมั่งคั่ง ความอ่อนแอทางจิตบวกกับการขาดปัญญา ย่อมเป็นเนื้อนาอันมีปุ๋ยชั้นดีแก่บรรดาอลัชชีทั้งหลายได้เจริญเติบโตนั่นเอง

ส่วนรัฐไทยนั้นเป็นอะไรที่คาดหวังไม่ได้ในการชำระวงการสงฆ์ อันที่จริงรัฐสมัยใหม่ในหลายประเทศจะแยกการบริหารอาณาจักรและศาสนจักรออกจากกัน แต่กรณีรัฐไทยนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักรเป็นไปอย่างใกล้ชิด เรียกว่าศาสนจักรเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร หรือสงฆ์และวัดถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริหารราชการแผ่นดินของไทย เราจึงมีเงินเดือนสงฆ์ตั้งแต่ตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส ไปจนถึงสมเด็จพระสังฆราช ตัวเลขเงินเดือนที่ให้ระดับต่ำสุดประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน และสูงสุดประมาณ 37,770 บาทต่อเดือน

กล่าวได้ว่าฝ่ายอาณาจักรประเคนให้สงฆ์ทั้งเงินตราและตำแหน่ง เครื่องล่อใจเยี่ยงนี้ย่อมไปกระทบกับจิตของสงฆ์ หากมองในแง่ดีคือบทสอบความมั่นคงของจิต แต่หากมองในแง่ร้ายคือ นี่เป็นเครื่องล่อลวงให้สงฆ์ผู้มีตบะไม่หนักแน่น ติดกับดักและจมลงไปในห้วงลึกของกิเลสได้โดยง่าย

ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่าจะมีปัจจัยที่เอื้อต่อของการถลำสู่บ่วงมาร และมีอลัชชีเหลือคณานับ แต่ทว่าแผ่นดินไทยก็ไม่ได้ขาดพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หรืออริยะสงฆ์ บางท่านมีชื่อเสียงเผยแผ่คำสอนหลักธรรมที่ดีงามแก่ผู้คน เพื่อยกระดับศีลธรรมจรรยาของผู้คนให้สูงขึ้น บางท่านก็สอนการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา เพื่อยกระดับสติและการตื่นรู้ของผู้คน บรรดาพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติในวิถีแห่งพุทธย่อมมีส่วนสำคัญในการพัฒนาจิตสำนึกที่ดีงามร่วมของสังคมได้

แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่สังคมขาดพระปฏิบัติชอบ การมีพระปฏิบัติชอบย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม แต่ปัญหาคือ สังคมไทยมีพระที่ไม่ใช่พระ มีสงฆ์ที่ไม่ใช่สงฆ์ มากเกินไปต่างหาก หลักการที่จะดำรงรักษาศาสนาคือ การลดจำนวนอลัชชี หรือ สงฆ์ที่ไม่ใช่สงฆ์เหล่านี้ให้เหลือน้อยที่สุด หรือหากไม่มีเลยก็จะยิ่งดี

ผมคิดว่ามาตรการที่เจ้าคณะหนทั้งหลายประกาศห้ามโฆษณาและขายเครื่องรางของหลังในวัดนั้นนั้น แม้ว่าจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ก็ไม่เพียงพอในการชำระวงการสงฆ์ไทยครับ ควรมีมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ทั้งในระยะสั้นและยาว และไม่ควรให้คณะสงฆ์ดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว ทางอาณาจักรและพุทธศาสนิกชนควรมีส่วนร่วมในการสะสางวงการสงฆ์ด้วย

มาตรการระยะสั้นที่ควรดำเนินการคือ การตรวจสอบพฤติกรรมของสงฆ์ที่ประพฤติไม่เป็นไปตามคำสอนและดำเนินการสึกสงฆ์ที่ไม่สงฆ์เหล่าเสียทั้งหมด ควรกำหนดให้สงฆ์ทุกรูป (ยกเว้นที่อาพาธ)ไม่ว่าจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ชั้นใดทำการบิณฑบาต หากทำไม่ได้ก็ควรให้สึกไปเสีย สงฆ์ที่ไม่ใช่สงฆ์รูปใดให้หวย ดูดวง สร้างหรือร่วมมือในการสร้างเครื่องรางของหลังให้งดเสีย หากยังไม่งดให้สึกออกไป สงฆ์ที่มีพฤติกรรมเลียนแบบฆราวาส เช่น แต่งหน้า ทาปาก แต่งตัวไม่เหมาะสม ให้เลิกทำ หากเลิกไม่ได้ให้สึกไปเสีย

สำหรับมาตรการระยะกลางและยาวที่ควรทำเพิ่มเติมคือ การกำหนดระเบียบในการบวชให้มีความเข้มงวดยิ่งขึ้น และมีขั้นตอนที่สามารถประเมินได้ว่า ผู้ประสงค์จะบวชมีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆในการบวชอย่างแท้จริง และควรยกเลิกการบวชตามประเพณีเสีย การบวชแบบนั้นย่อมนำไปสู่การการทำให้เกิดความเสื่อมได้ง่าย เพราะผู้บวชส่วนใหญ่ไม่ตั้งใจจริงในการบวชเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม

ในระยะยาวควรมีการยกเลิกระบบยศถาบรรดาศักดิ์พระ และเงินเดือนพระอย่างเป็นขั้นตอน เพราะลาภสักการะเหล่านี้ หาใช่ปัจจัยเกื้อหนุนและนำไปสู่การสร้างความบริสุทธิ์ทางจิต หากแต่เป็นภาระเครื่องถ่วง ชักนำให้เกิดกิเลสการยึดติดและขยายอัตตาได้ง่าย และนำไปสู่ความเศร้าหมองแก่จิตในที่สุด อันขัดแย้งกับการละกิเลส สลัดความเป็นตัวตน และหนทางของการบรรลุธรรมในระดับสูงของการเป็นสงฆ์

สงฆ์ควรเป็นแบบอย่างที่ดีทางศีลธรรมแก่ประชาชน ควรเป็นที่พึ่งในการชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนทางจิตแก่คนในสังคม ควรเป็นแสงสว่างทางปัญญาในการนำไปสู่การดำรงชีวิตย่างมีสติ และวัดควรเป็นสถาบันทางสังคมที่เป็นแหล่งเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตและสร้างความสงบสุขแก่สังคม มากกว่าเป็นสถานที่ขายเครื่องรางของหลังและขายบุญดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น