xs
xsm
sm
md
lg

มารู้จักเจ้าของวาทกรรม “ถ่านหินสะอาด” กันเถอะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ประสาท มีแต้ม

ผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายพิเศษเรื่อง “ทางออกด้านพลังงานของไทยและโลก” ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อผมถามอาจารย์เจ้าของวิชาว่านักศึกษาอยากฟังเรื่องอะไรบ้าง ท่านตอบมาหลายประเด็น รวมทั้งเรื่อง “ถ่านหินสะอาด (Clean Coal)” ผมจึงต้องค้นคว้าให้เป็นเรื่องเป็นราว

หลังจากค้นคว้าอยู่หลายวันพบว่า ไม่มีความชัดเจนว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใดกันแน่ แต่พบว่าสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย Air Pollution Control Act of 1955 เพื่อทำการวิจัยและช่วยเหลือทางเทคนิคในการควบคุมมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณะ มลพิษดังกล่าวเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าซึ่งส่วนมากก็ใช้ถ่านหินนั่นแหละ ในเวลานั้นยังไม่พบคำว่า “โลกร้อน” แต่การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีได้เกิดเป็นกระแสทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปแล้ว

ในปี 1988 องค์การสหประชาชาติได้จัดตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

ในปี 1990 IPCC ได้ทำรายงานชิ้นแรกสรุปว่า “อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศเหนือผิวโลกได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเมื่อ 100 ปีก่อนถึง 0.3-0.6 องศาเซลเซียส โดยสาเหตุเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์” แต่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากว่า ในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาของสหประชาชาติที่เรียกว่า Millennium Development Goals (MDGs:2000-2015) ซึ่งเพิ่งหมดอายุไปและถูกแทนที่ด้วย SDGs17 เป้าหมายในขณะนี้ ไม่ได้กำหนดให้การลดโลกร้อนเป็น 1 ใน 8 เป้าหมายการพัฒนาแต่อย่างใด

จะรุนแรงเกินไปไหมครับ หากเราจะตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือ “การเมือง” ในสหประชาชาติซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงประเภทถาวรล้วนแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรม

นอกจากนี้จากบทความใน Scientific American เขียนโดย SHANNON HALL (เผยแพร่เมื่อปี 2015) ได้เปิดเผยว่า บริษัท Exxon ซึ่งเป็นบริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกได้รับรู้และเข้าใจกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิด “โลกร้อน” ตั้งแต่ปี 1977 ก่อนที่ IPCC ได้เสนอรายงานถึง 13 ปี ผู้เขียนบทความนี้ยังได้ระบุอีกว่า บริษัท Exxon ได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อบิดเบือนความจริง โดยใช้วิธีการและที่ปรึกษาเดียวกันกับการบิดเบือนในเรื่องภัยของการสูบบุหรี่ ผมได้แนบบางส่วนของบทความมาแสดงด้วย

ในรายงานฉบับที่สี่ของ IPCC ซึ่งออกในปี 2007 ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “การเผาถ่านหินคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” ส่งผลให้ IPCC และอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในเดือนตุลาคม 2007

ผลงานสำคัญของคุณอัลกอร์ ก็คือการสร้างภาพยนตร์สารคดีที่โด่งดังเรื่อง “โลกร้อน : ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง” (Global Warming : An Inconvenient Truth) ในกลางปี 2006 ส่งผลให้เกิดกระแสความตื่นตัวของประชาชนทั่วโลก (แต่ยังไม่ได้เสนอทางออกที่ชัดเจน) แต่น่าเสียดายที่ตอนที่สองซึ่งเพิ่งเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนสิงหาคมปีนี้ ได้รับการกล่าวถึงในสังคมไทยน้อยมาก ทั้งๆ ที่ในตอนที่สองนี้ได้เสนอแนวนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนที่ผู้นำโลกเกือบ 200 ประเทศให้การสนับสนุน รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย

เมื่อพูดถึงความตื่นตัวของประชาชน เนื่องจากผมไม่พบหลักฐานว่าที่ชัดเจนว่า “ถ่านหินสะอาด” ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใด แต่จากข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของชาวโลก (ดังภาพที่แนบ-พร้อมรายละเอียดที่น่าสนใจ) พบว่าในช่วงปี 1990 ถึง 2000 ชาวยุโรปได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 3.3% และลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชาวอเมริกาเหนือปล่อยเพิ่มขึ้นถึง 17.2% ที่เป็นเช่นนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นการเมืองภายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่มักจะอยู่เหนือผู้นำ รวมทั้งการก่อสงครามในตะวันออกกลางด้วย

ปรากฏการณ์ที่สำคัญเช่นนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเฉยๆ แต่ต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

จากเว็บไซต์ www.sourcewatch.org ได้ให้ความหมายของ “ถ่านหินสะอาด (Clean Coal)” ทั้งในมิติการเมืองและการตลาดรวมทั้งเทคโนโลยีที่อ้างว่า “สะอาด”

ในแง่การรณรงค์ด้านการตลาดก็เพื่อมุ่งหวังให้สาธารณะและนักการเมืองเชื่อว่าการใช้ถ่านหินจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการล้างสมอง (Brainwashing) ซึ่งแตกแขนงมาเป็นกระบวนการเคลือบสิ่งแวดล้อม (Greenwashing)

ในปี 2000 กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมเหมือง การขนส่งถ่านหินและการผลิตไฟฟ้าได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรที่ชื่อย่อว่า ABEC (Americans for Balanced Energy Choices-อเมริกันเพื่อการเลือกใช้พลังงานที่สมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อม และการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อความมั่งคั่งของครอบครัวคนวัยทำงานชาวอเมริกัน) ในช่วงปี 2002-2007 ABEC ใช้งบในการ “ล็อบบี้” รัฐบาลกลางเฉลี่ยปีละเกือบ 1 ล้านดอลลาร์

ในปี 2006 รายได้ของ 15 บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม ABEC รวมกันถึง 1.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าทางกลุ่มของตนได้ลงทุนถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อทำให้ถ่านหิน “สะอาดกว่า” เข้าใจว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” น่าจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นี่เอง โดยทาง ABEC ได้โฆษณาว่าจะให้การเผาถ่านหินแล้วไม่ปล่อยก๊าซ (Zero-Emission) และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ในประเด็นที่อ้างว่า การเผาถ่านหินไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้ๆโรงไฟฟ้า ไม่ว่าน้ำเสีย มลพิษขนาดเล็ก (พีเอ็ม 2.5) ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่แนวคิดอีกอย่างหนึ่งของพวกเขาก็คือการเอาก๊าซไปเก็บไว้ใต้ดินที่เรียกว่า “Carbon Capture Storage” เพื่อไม่ให้ก๊าซลอยขึ้นไปในอากาศจนกลายเป็นก๊าซเรือนกระจก

คนที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้างคงจะเข้าใจดีว่า การเผาเชื้อเพลิงต้องอาศัยก๊าซออกซิเจนในอากาศ ถ้าเชื้อเพลิงประกอบด้วยคาร์บอนบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัม เมื่อเผาแล้วจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 3.67 กิโลกรัม (คำนวณจากน้ำหนักโมเลกุล) นั่นคือได้ก๊าซที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมเยอะเลย ก๊าซพวกนี้เป็นสสารต้องการที่อยู่ ต้องการที่กักขังตนเองที่มากกว่าตอนที่ยังไม่ถูกเผาถึงเกือบ 4 เท่าตัว แต่ในความเป็นจริงในถ่านหินมีความชื้น มีสารอื่นเจือปน ดังนั้น การเผาถ่านหิน 1 กิโลกรัมจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2.2 กิโลกรัมซึ่งก็ยังมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัว

โรงไฟฟ้าขนาด 800 เมกะวัตต์จะต้องเผาถ่านหินวันละ 9 พันตัน จึงลองจินตนาการดูนะครับว่าจะปล่อยก๊าซมากขนาดไหน คำถามก็คือแล้วจะเอาภาชนะใดไปขังมันครับ

นักวิจัยจากสถาบัน MIT ของสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์ก่อนปี 2030 และหากเกิดขึ้นได้จริงค่าไฟฟ้าก็จะแพงขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับการไม่กักเก็บ

ในปี 2008 ABEC ได้ยุบรวมกับอีกองค์กรหนึ่ง แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ACCCE (American Coalition for Clean Coal Electricity-ความร่วมมือกันของอเมริกันเพื่อใช้ถ่านหินสะอาดผลิตไฟฟ้า) เว็บไซต์ http://www.sourcewatch.org/index.php/American_Coalition_for_Clean_Coal_Electricity ได้ให้ข้อมูลโดยอ้างถึง ACCCE ว่า “มี 40 บริษัทชั้นนำด้านการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การผลิตถ่านหินและเทคโนโลยีพลังงานของสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิก”

ในปี 2008 กลุ่ม ACCCE ได้จ่ายเงิน 38 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเวลาโฆษณาทางโทรทัศน์รวมทั้งในนิตยสารต่างๆ ว่า “ถ่านหินสามารถสะอาดและไม่ปล่อยก๊าซ”

ล่าสุด กลุ่ม ACCCE ได้ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ว่า “เราสนับสนุนการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะหากยึดตามข้อตกลงของรัฐบาลโอบามาจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ชื่อถือได้น้อยลง”

ซึ่งผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมมีแหล่งอ่างอิงในบทความเก่าๆ หลายชิ้นครับ


จากเอกสารที่ชื่อ Coal’s Lonely Lobbyists (จัดทำโดย www.climateinvestigations.org/coal-lobby) ได้เปิดเผยเรื่องที่น่าขันของกลุ่ม ACCCE ที่เขาได้ลวงชาวโลกว่า “ยิ่งมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเท่าใด พืชก็จะยิ่งโตเร็วเท่านั้น” (ดูภาพประกอบ) ซึ่งฟังดูเผินๆ แล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราทราบว่าพืชใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง

แต่ความจริงในวิทยาศาสตร์พบว่า การสังเคราะห์แสงนอกจากจะต้องใช้แสงแดดแล้วยังต้องใช้น้ำด้วย แม้ว่ากลไกการสังเคราะห์แสงขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มของแสงแดดแล้ว แต่จำนวนโมเลกุลของน้ำกับของคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องเท่ากัน และเนื่องจากโดยมากแล้วพืชจะขาดแคลนน้ำ ดังนั้นการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ (หากขาดน้ำและแสงแดดรวมทั้งธาตุอาหารด้วย)

เอกสารของกลุ่ม Coal’s Lonely Lobbyists ยังได้เปิดเผยอีกว่า ทั้งรายได้และจำนวนสมาชิกของกลุ่ม ACCCE ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 2009 กลุ่ม ACCCE มีรายได้ประมาณ 55 ล้านดอลลาร์ แต่ได้ลดลงมาเหลือประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในปี 2014

7 ใน 12 บริษัทที่ร่วมกันก่อตั้ง ACCCE ในปี 2008 และจ่ายเงินให้กับองค์กรอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ปัจจุบันได้ลาออกจากลุ่ม ACCCE แล้ว

หนึ่งในจำนวนนี้คือ บริษัท Duke Energy ที่ได้รับการอนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด 700 เมกะวัตต์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ล่าสุดบริษัทนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มพร้อมด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้บริหารของบริษัท Duke Energy ได้ประกาศว่าการตัดสินใจของบริษัทในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มอนุรักษ์เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้รับ

นั่นแปลว่าวาทกรรมที่ทางรัฐบาลชอบอ้างว่า “พวกเอ็นจีโอเอาแต่ค้าน” ก็ไม่เป็นความจริงแล้วซินะ ที่เขาค้านก็เพราะว่ารัฐบาลนั่นแหละคือตัวปัญหา ทั้งล้าหลังและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนต่างหากละ!

อ้อ! เกือบลืมครับ คุณอัลกอร์ ได้กล่าวหนังสารคดีล่าสุดของเขาว่า “ถ่านหินสะอาดก็เหมือนกับบุหรี่เพื่อสุขภาพ คือทั้งสองอย่างไม่มีอยู่จริง” เป็นการลวงทางปัญญาล้วนๆ ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น