ผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายพิเศษเรื่อง “ทางออกด้านพลังงานของไทยและโลก” ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อผมถามอาจารย์เจ้าของวิชาว่านักศึกษาอยากฟังเรื่องอะไรบ้าง ท่านตอบมาหลายประเด็น รวมทั้งเรื่อง “ถ่านหินสะอาด (Clean Coal)” ผมจึงต้องค้นคว้าให้เป็นเรื่องเป็นราว
หลังจากค้นคว้าอยู่หลายวันพบว่า ไม่มีความชัดเจนว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใดกันแน่ แต่พบว่าสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย Air Pollution Control Act of 1955 เพื่อทำการวิจัยและช่วยเหลือทางเทคนิคในการควบคุมมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณะ มลพิษดังกล่าวเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าซึ่งส่วนมากก็ใช้ถ่านหินนั่นแหละ ในเวลานั้นยังไม่พบคำว่า “โลกร้อน” แต่การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีได้เกิดเป็นกระแสทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปแล้ว
ในปี 1988 องค์การสหประชาชาติได้จัดตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ในปี 1990 IPCC ได้ทำรายงานชิ้นแรกสรุปว่า “อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศเหนือผิวโลกได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเมื่อ 100 ปีก่อนถึง 0.3-0.6 องศาเซลเซียส โดยสาเหตุเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์” แต่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากว่า ในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาของสหประชาชาติที่เรียกว่า Millennium Development Goals (MDGs:2000-2015) ซึ่งเพิ่งหมดอายุไปและถูกแทนที่ด้วย SDGs17 เป้าหมายในขณะนี้ ไม่ได้กำหนดให้การลดโลกร้อนเป็น 1 ใน 8 เป้าหมายการพัฒนาแต่อย่างใด
จะรุนแรงเกินไปไหมครับ หากเราจะตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือ “การเมือง” ในสหประชาชาติซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงประเภทถาวรล้วนแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรม
นอกจากนี้จากบทความใน Scientific American เขียนโดย SHANNON HALL (เผยแพร่เมื่อปี 2015) ได้เปิดเผยว่า บริษัท Exxon ซึ่งเป็นบริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกได้รับรู้และเข้าใจกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิด “โลกร้อน” ตั้งแต่ปี 1977 ก่อนที่ IPCC ได้เสนอรายงานถึง 13 ปี ผู้เขียนบทความนี้ยังได้ระบุอีกว่า บริษัท Exxon ได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อบิดเบือนความจริง โดยใช้วิธีการและที่ปรึกษาเดียวกันกับการบิดเบือนในเรื่องภัยของการสูบบุหรี่ ผมได้แนบบางส่วนของบทความมาแสดงด้วย
ในรายงานฉบับที่สี่ของ IPCC ซึ่งออกในปี 2007 ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “การเผาถ่านหินคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” ส่งผลให้ IPCC และอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในเดือนตุลาคม 2007
ผลงานสำคัญของคุณอัลกอร์ ก็คือการสร้างภาพยนตร์สารคดีที่โด่งดังเรื่อง “โลกร้อน : ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง” (Global Warming : An Inconvenient Truth) ในกลางปี 2006 ส่งผลให้เกิดกระแสความตื่นตัวของประชาชนทั่วโลก (แต่ยังไม่ได้เสนอทางออกที่ชัดเจน) แต่น่าเสียดายที่ตอนที่สองซึ่งเพิ่งเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนสิงหาคมปีนี้ ได้รับการกล่าวถึงในสังคมไทยน้อยมาก ทั้งๆ ที่ในตอนที่สองนี้ได้เสนอแนวนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนที่ผู้นำโลกเกือบ 200 ประเทศให้การสนับสนุน รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย
เมื่อพูดถึงความตื่นตัวของประชาชน เนื่องจากผมไม่พบหลักฐานว่าที่ชัดเจนว่า “ถ่านหินสะอาด” ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใด แต่จากข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของชาวโลก (ดังภาพที่แนบ-พร้อมรายละเอียดที่น่าสนใจ) พบว่าในช่วงปี 1990 ถึง 2000 ชาวยุโรปได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 3.3% และลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชาวอเมริกาเหนือปล่อยเพิ่มขึ้นถึง 17.2% ที่เป็นเช่นนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นการเมืองภายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่มักจะอยู่เหนือผู้นำ รวมทั้งการก่อสงครามในตะวันออกกลางด้วย
ปรากฏการณ์ที่สำคัญเช่นนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเฉยๆ แต่ต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน
จากเว็บไซต์ www.sourcewatch.org ได้ให้ความหมายของ “ถ่านหินสะอาด (Clean Coal)” ทั้งในมิติการเมืองและการตลาดรวมทั้งเทคโนโลยีที่อ้างว่า “สะอาด”
ในแง่การรณรงค์ด้านการตลาดก็เพื่อมุ่งหวังให้สาธารณะและนักการเมืองเชื่อว่าการใช้ถ่านหินจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการล้างสมอง (Brainwashing) ซึ่งแตกแขนงมาเป็นกระบวนการเคลือบสิ่งแวดล้อม (Greenwashing)
ในปี 2000 กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมเหมือง การขนส่งถ่านหินและการผลิตไฟฟ้าได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรที่ชื่อย่อว่า ABEC (Americans for Balanced Energy Choices-อเมริกันเพื่อการเลือกใช้พลังงานที่สมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อม และการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อความมั่งคั่งของครอบครัวคนวัยทำงานชาวอเมริกัน) ในช่วงปี 2002-2007 ABEC ใช้งบในการ “ล็อบบี้” รัฐบาลกลางเฉลี่ยปีละเกือบ 1 ล้านดอลลาร์
ในปี 2006 รายได้ของ 15 บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม ABEC รวมกันถึง 1.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าทางกลุ่มของตนได้ลงทุนถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อทำให้ถ่านหิน “สะอาดกว่า” เข้าใจว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” น่าจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นี่เอง โดยทาง ABEC ได้โฆษณาว่าจะให้การเผาถ่านหินแล้วไม่ปล่อยก๊าซ (Zero-Emission) และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ในประเด็นที่อ้างว่า การเผาถ่านหินไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้ๆโรงไฟฟ้า ไม่ว่าน้ำเสีย มลพิษขนาดเล็ก (พีเอ็ม 2.5) ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่แนวคิดอีกอย่างหนึ่งของพวกเขาก็คือการเอาก๊าซไปเก็บไว้ใต้ดินที่เรียกว่า “Carbon Capture Storage” เพื่อไม่ให้ก๊าซลอยขึ้นไปในอากาศจนกลายเป็นก๊าซเรือนกระจก
คนที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้างคงจะเข้าใจดีว่า การเผาเชื้อเพลิงต้องอาศัยก๊าซออกซิเจนในอากาศ ถ้าเชื้อเพลิงประกอบด้วยคาร์บอนบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัม เมื่อเผาแล้วจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 3.67 กิโลกรัม (คำนวณจากน้ำหนักโมเลกุล) นั่นคือได้ก๊าซที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมเยอะเลย ก๊าซพวกนี้เป็นสสารต้องการที่อยู่ ต้องการที่กักขังตนเองที่มากกว่าตอนที่ยังไม่ถูกเผาถึงเกือบ 4 เท่าตัว แต่ในความเป็นจริงในถ่านหินมีความชื้น มีสารอื่นเจือปน ดังนั้น การเผาถ่านหิน 1 กิโลกรัมจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2.2 กิโลกรัมซึ่งก็ยังมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัว
โรงไฟฟ้าขนาด 800 เมกะวัตต์จะต้องเผาถ่านหินวันละ 9 พันตัน จึงลองจินตนาการดูนะครับว่าจะปล่อยก๊าซมากขนาดไหน คำถามก็คือแล้วจะเอาภาชนะใดไปขังมันครับ
นักวิจัยจากสถาบัน MIT ของสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์ก่อนปี 2030 และหากเกิดขึ้นได้จริงค่าไฟฟ้าก็จะแพงขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับการไม่กักเก็บ
ในปี 2008 ABEC ได้ยุบรวมกับอีกองค์กรหนึ่ง แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ACCCE (American Coalition for Clean Coal Electricity-ความร่วมมือกันของอเมริกันเพื่อใช้ถ่านหินสะอาดผลิตไฟฟ้า) เว็บไซต์ http://www.sourcewatch.org/index.php/American_Coalition_for_Clean_Coal_Electricity ได้ให้ข้อมูลโดยอ้างถึง ACCCE ว่า “มี 40 บริษัทชั้นนำด้านการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การผลิตถ่านหินและเทคโนโลยีพลังงานของสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิก”
ในปี 2008 กลุ่ม ACCCE ได้จ่ายเงิน 38 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเวลาโฆษณาทางโทรทัศน์รวมทั้งในนิตยสารต่างๆ ว่า “ถ่านหินสามารถสะอาดและไม่ปล่อยก๊าซ”
ล่าสุด กลุ่ม ACCCE ได้ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ว่า “เราสนับสนุนการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะหากยึดตามข้อตกลงของรัฐบาลโอบามาจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ชื่อถือได้น้อยลง”
ซึ่งผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมมีแหล่งอ่างอิงในบทความเก่าๆ หลายชิ้นครับ
จากเอกสารที่ชื่อ Coal’s Lonely Lobbyists (จัดทำโดย www.climateinvestigations.org/coal-lobby) ได้เปิดเผยเรื่องที่น่าขันของกลุ่ม ACCCE ที่เขาได้ลวงชาวโลกว่า “ยิ่งมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเท่าใด พืชก็จะยิ่งโตเร็วเท่านั้น” (ดูภาพประกอบ) ซึ่งฟังดูเผินๆ แล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราทราบว่าพืชใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง
แต่ความจริงในวิทยาศาสตร์พบว่า การสังเคราะห์แสงนอกจากจะต้องใช้แสงแดดแล้วยังต้องใช้น้ำด้วย แม้ว่ากลไกการสังเคราะห์แสงขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มของแสงแดดแล้ว แต่จำนวนโมเลกุลของน้ำกับของคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องเท่ากัน และเนื่องจากโดยมากแล้วพืชจะขาดแคลนน้ำ ดังนั้นการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ (หากขาดน้ำและแสงแดดรวมทั้งธาตุอาหารด้วย)
เอกสารของกลุ่ม Coal’s Lonely Lobbyists ยังได้เปิดเผยอีกว่า ทั้งรายได้และจำนวนสมาชิกของกลุ่ม ACCCE ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 2009 กลุ่ม ACCCE มีรายได้ประมาณ 55 ล้านดอลลาร์ แต่ได้ลดลงมาเหลือประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในปี 2014
7 ใน 12 บริษัทที่ร่วมกันก่อตั้ง ACCCE ในปี 2008 และจ่ายเงินให้กับองค์กรอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ปัจจุบันได้ลาออกจากลุ่ม ACCCE แล้ว
หนึ่งในจำนวนนี้คือ บริษัท Duke Energy ที่ได้รับการอนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด 700 เมกะวัตต์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ล่าสุดบริษัทนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มพร้อมด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้บริหารของบริษัท Duke Energy ได้ประกาศว่าการตัดสินใจของบริษัทในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มอนุรักษ์เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้รับ
นั่นแปลว่าวาทกรรมที่ทางรัฐบาลชอบอ้างว่า “พวกเอ็นจีโอเอาแต่ค้าน” ก็ไม่เป็นความจริงแล้วซินะ ที่เขาค้านก็เพราะว่ารัฐบาลนั่นแหละคือตัวปัญหา ทั้งล้าหลังและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนต่างหากละ!
อ้อ! เกือบลืมครับ คุณอัลกอร์ ได้กล่าวหนังสารคดีล่าสุดของเขาว่า “ถ่านหินสะอาดก็เหมือนกับบุหรี่เพื่อสุขภาพ คือทั้งสองอย่างไม่มีอยู่จริง” เป็นการลวงทางปัญญาล้วนๆ ครับ
หลังจากค้นคว้าอยู่หลายวันพบว่า ไม่มีความชัดเจนว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใดกันแน่ แต่พบว่าสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย Air Pollution Control Act of 1955 เพื่อทำการวิจัยและช่วยเหลือทางเทคนิคในการควบคุมมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณะ มลพิษดังกล่าวเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าซึ่งส่วนมากก็ใช้ถ่านหินนั่นแหละ ในเวลานั้นยังไม่พบคำว่า “โลกร้อน” แต่การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีได้เกิดเป็นกระแสทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปแล้ว
ในปี 1988 องค์การสหประชาชาติได้จัดตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ในปี 1990 IPCC ได้ทำรายงานชิ้นแรกสรุปว่า “อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศเหนือผิวโลกได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเมื่อ 100 ปีก่อนถึง 0.3-0.6 องศาเซลเซียส โดยสาเหตุเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์” แต่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากว่า ในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาของสหประชาชาติที่เรียกว่า Millennium Development Goals (MDGs:2000-2015) ซึ่งเพิ่งหมดอายุไปและถูกแทนที่ด้วย SDGs17 เป้าหมายในขณะนี้ ไม่ได้กำหนดให้การลดโลกร้อนเป็น 1 ใน 8 เป้าหมายการพัฒนาแต่อย่างใด
จะรุนแรงเกินไปไหมครับ หากเราจะตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือ “การเมือง” ในสหประชาชาติซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงประเภทถาวรล้วนแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรม
นอกจากนี้จากบทความใน Scientific American เขียนโดย SHANNON HALL (เผยแพร่เมื่อปี 2015) ได้เปิดเผยว่า บริษัท Exxon ซึ่งเป็นบริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกได้รับรู้และเข้าใจกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิด “โลกร้อน” ตั้งแต่ปี 1977 ก่อนที่ IPCC ได้เสนอรายงานถึง 13 ปี ผู้เขียนบทความนี้ยังได้ระบุอีกว่า บริษัท Exxon ได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อบิดเบือนความจริง โดยใช้วิธีการและที่ปรึกษาเดียวกันกับการบิดเบือนในเรื่องภัยของการสูบบุหรี่ ผมได้แนบบางส่วนของบทความมาแสดงด้วย
ในรายงานฉบับที่สี่ของ IPCC ซึ่งออกในปี 2007 ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “การเผาถ่านหินคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” ส่งผลให้ IPCC และอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในเดือนตุลาคม 2007
ผลงานสำคัญของคุณอัลกอร์ ก็คือการสร้างภาพยนตร์สารคดีที่โด่งดังเรื่อง “โลกร้อน : ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง” (Global Warming : An Inconvenient Truth) ในกลางปี 2006 ส่งผลให้เกิดกระแสความตื่นตัวของประชาชนทั่วโลก (แต่ยังไม่ได้เสนอทางออกที่ชัดเจน) แต่น่าเสียดายที่ตอนที่สองซึ่งเพิ่งเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนสิงหาคมปีนี้ ได้รับการกล่าวถึงในสังคมไทยน้อยมาก ทั้งๆ ที่ในตอนที่สองนี้ได้เสนอแนวนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนที่ผู้นำโลกเกือบ 200 ประเทศให้การสนับสนุน รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย
เมื่อพูดถึงความตื่นตัวของประชาชน เนื่องจากผมไม่พบหลักฐานว่าที่ชัดเจนว่า “ถ่านหินสะอาด” ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใด แต่จากข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของชาวโลก (ดังภาพที่แนบ-พร้อมรายละเอียดที่น่าสนใจ) พบว่าในช่วงปี 1990 ถึง 2000 ชาวยุโรปได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 3.3% และลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชาวอเมริกาเหนือปล่อยเพิ่มขึ้นถึง 17.2% ที่เป็นเช่นนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นการเมืองภายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่มักจะอยู่เหนือผู้นำ รวมทั้งการก่อสงครามในตะวันออกกลางด้วย
ปรากฏการณ์ที่สำคัญเช่นนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ หรือเฉยๆ แต่ต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน
จากเว็บไซต์ www.sourcewatch.org ได้ให้ความหมายของ “ถ่านหินสะอาด (Clean Coal)” ทั้งในมิติการเมืองและการตลาดรวมทั้งเทคโนโลยีที่อ้างว่า “สะอาด”
ในแง่การรณรงค์ด้านการตลาดก็เพื่อมุ่งหวังให้สาธารณะและนักการเมืองเชื่อว่าการใช้ถ่านหินจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการล้างสมอง (Brainwashing) ซึ่งแตกแขนงมาเป็นกระบวนการเคลือบสิ่งแวดล้อม (Greenwashing)
ในปี 2000 กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมเหมือง การขนส่งถ่านหินและการผลิตไฟฟ้าได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรที่ชื่อย่อว่า ABEC (Americans for Balanced Energy Choices-อเมริกันเพื่อการเลือกใช้พลังงานที่สมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อม และการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อความมั่งคั่งของครอบครัวคนวัยทำงานชาวอเมริกัน) ในช่วงปี 2002-2007 ABEC ใช้งบในการ “ล็อบบี้” รัฐบาลกลางเฉลี่ยปีละเกือบ 1 ล้านดอลลาร์
ในปี 2006 รายได้ของ 15 บริษัทที่อยู่ในกลุ่ม ABEC รวมกันถึง 1.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอ้างว่าทางกลุ่มของตนได้ลงทุนถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อทำให้ถ่านหิน “สะอาดกว่า” เข้าใจว่าคำว่า “ถ่านหินสะอาด” น่าจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นี่เอง โดยทาง ABEC ได้โฆษณาว่าจะให้การเผาถ่านหินแล้วไม่ปล่อยก๊าซ (Zero-Emission) และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ในประเด็นที่อ้างว่า การเผาถ่านหินไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้ๆโรงไฟฟ้า ไม่ว่าน้ำเสีย มลพิษขนาดเล็ก (พีเอ็ม 2.5) ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่แนวคิดอีกอย่างหนึ่งของพวกเขาก็คือการเอาก๊าซไปเก็บไว้ใต้ดินที่เรียกว่า “Carbon Capture Storage” เพื่อไม่ให้ก๊าซลอยขึ้นไปในอากาศจนกลายเป็นก๊าซเรือนกระจก
คนที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้างคงจะเข้าใจดีว่า การเผาเชื้อเพลิงต้องอาศัยก๊าซออกซิเจนในอากาศ ถ้าเชื้อเพลิงประกอบด้วยคาร์บอนบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัม เมื่อเผาแล้วจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 3.67 กิโลกรัม (คำนวณจากน้ำหนักโมเลกุล) นั่นคือได้ก๊าซที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมเยอะเลย ก๊าซพวกนี้เป็นสสารต้องการที่อยู่ ต้องการที่กักขังตนเองที่มากกว่าตอนที่ยังไม่ถูกเผาถึงเกือบ 4 เท่าตัว แต่ในความเป็นจริงในถ่านหินมีความชื้น มีสารอื่นเจือปน ดังนั้น การเผาถ่านหิน 1 กิโลกรัมจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2.2 กิโลกรัมซึ่งก็ยังมากกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัว
โรงไฟฟ้าขนาด 800 เมกะวัตต์จะต้องเผาถ่านหินวันละ 9 พันตัน จึงลองจินตนาการดูนะครับว่าจะปล่อยก๊าซมากขนาดไหน คำถามก็คือแล้วจะเอาภาชนะใดไปขังมันครับ
นักวิจัยจากสถาบัน MIT ของสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้นในเชิงพาณิชย์ก่อนปี 2030 และหากเกิดขึ้นได้จริงค่าไฟฟ้าก็จะแพงขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับการไม่กักเก็บ
ในปี 2008 ABEC ได้ยุบรวมกับอีกองค์กรหนึ่ง แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า ACCCE (American Coalition for Clean Coal Electricity-ความร่วมมือกันของอเมริกันเพื่อใช้ถ่านหินสะอาดผลิตไฟฟ้า) เว็บไซต์ http://www.sourcewatch.org/index.php/American_Coalition_for_Clean_Coal_Electricity ได้ให้ข้อมูลโดยอ้างถึง ACCCE ว่า “มี 40 บริษัทชั้นนำด้านการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การผลิตถ่านหินและเทคโนโลยีพลังงานของสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิก”
ในปี 2008 กลุ่ม ACCCE ได้จ่ายเงิน 38 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเวลาโฆษณาทางโทรทัศน์รวมทั้งในนิตยสารต่างๆ ว่า “ถ่านหินสามารถสะอาดและไม่ปล่อยก๊าซ”
ล่าสุด กลุ่ม ACCCE ได้ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ว่า “เราสนับสนุนการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะหากยึดตามข้อตกลงของรัฐบาลโอบามาจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานที่ชื่อถือได้น้อยลง”
ซึ่งผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมมีแหล่งอ่างอิงในบทความเก่าๆ หลายชิ้นครับ
จากเอกสารที่ชื่อ Coal’s Lonely Lobbyists (จัดทำโดย www.climateinvestigations.org/coal-lobby) ได้เปิดเผยเรื่องที่น่าขันของกลุ่ม ACCCE ที่เขาได้ลวงชาวโลกว่า “ยิ่งมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเท่าใด พืชก็จะยิ่งโตเร็วเท่านั้น” (ดูภาพประกอบ) ซึ่งฟังดูเผินๆ แล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราทราบว่าพืชใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง
แต่ความจริงในวิทยาศาสตร์พบว่า การสังเคราะห์แสงนอกจากจะต้องใช้แสงแดดแล้วยังต้องใช้น้ำด้วย แม้ว่ากลไกการสังเคราะห์แสงขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มของแสงแดดแล้ว แต่จำนวนโมเลกุลของน้ำกับของคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องเท่ากัน และเนื่องจากโดยมากแล้วพืชจะขาดแคลนน้ำ ดังนั้นการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ (หากขาดน้ำและแสงแดดรวมทั้งธาตุอาหารด้วย)
เอกสารของกลุ่ม Coal’s Lonely Lobbyists ยังได้เปิดเผยอีกว่า ทั้งรายได้และจำนวนสมาชิกของกลุ่ม ACCCE ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 2009 กลุ่ม ACCCE มีรายได้ประมาณ 55 ล้านดอลลาร์ แต่ได้ลดลงมาเหลือประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในปี 2014
7 ใน 12 บริษัทที่ร่วมกันก่อตั้ง ACCCE ในปี 2008 และจ่ายเงินให้กับองค์กรอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ปัจจุบันได้ลาออกจากลุ่ม ACCCE แล้ว
หนึ่งในจำนวนนี้คือ บริษัท Duke Energy ที่ได้รับการอนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด 700 เมกะวัตต์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ล่าสุดบริษัทนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มพร้อมด้วยแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้บริหารของบริษัท Duke Energy ได้ประกาศว่าการตัดสินใจของบริษัทในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มอนุรักษ์เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้รับ
นั่นแปลว่าวาทกรรมที่ทางรัฐบาลชอบอ้างว่า “พวกเอ็นจีโอเอาแต่ค้าน” ก็ไม่เป็นความจริงแล้วซินะ ที่เขาค้านก็เพราะว่ารัฐบาลนั่นแหละคือตัวปัญหา ทั้งล้าหลังและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนต่างหากละ!
อ้อ! เกือบลืมครับ คุณอัลกอร์ ได้กล่าวหนังสารคดีล่าสุดของเขาว่า “ถ่านหินสะอาดก็เหมือนกับบุหรี่เพื่อสุขภาพ คือทั้งสองอย่างไม่มีอยู่จริง” เป็นการลวงทางปัญญาล้วนๆ ครับ