xs
xsm
sm
md
lg

อังกฤษและจีน...กับ “สมบัติผู้ดี”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ไหนๆ ก็วนอยู่แถวๆ พม่ามา 2 วันซ้อนๆ...จะรีบกลับมาเปิดเข่งไก่ จิกตีกะใครต่อใครในบ้านเรา มันก็ออกจะเรื้อๆ อยู่พอสมควร อีกทั้งคงต้องรอสัปดาห์หน้าโน่นแหล่ะ กว่าจะถึงวันที่ 27 กันยาฯ ที่พอจะมีประเด็นใหม่ๆ หรือพอรู้ๆ ได้บ้างว่าจะเป็น “วันนี้ที่รอคอย” หรือ “วันที่ลอยคอ” สำหรับกรณี “ปูหนี” ด้วยเหตุนี้...คงต้องขออนุญาตว่าเรื่องพม่าปิดท้ายช่วงสุดสัปดาห์อีกซักวันก็แล้วกัน...

โดยเฉพาะเมื่อเผอิญเหลือบไปเห็นข่าวล่า มาเรือ ว่าด้วยกรณีนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นางเทเรซา เมย์” ออกมาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ Sky News ประกาศว่ารัฐบาลอังกฤษได้ตัดสินใจระงับโครงการช่วยเหลือฝึกอบรมทหารพม่า จนกว่ารัฐบาลพม่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาให้เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์ หรือไม่ขัดหู ขัดตา ขัดต่อความรู้สึกรักและหวงแหนสิทธิมนุษยชนของผู้ดีอังกฤษ อันนี้...ต้องเรียกว่า ฟังแล้วแทบ “อ้วกแตก” ออกมาเป็นลิ่มๆ!!!

คืออะไรมันจะ “ดัดจริต” ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากคาบคัมภีร์แต่มือถือสากกะเบือเท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว เพราะอย่างที่เคยว่าๆ ไว้แล้วนั่นแหละว่า ถ้าหากย้อนอดีตกลับไปซักร้อยๆ ปี คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...เหตุปัจจัยที่ทำให้ชาวโรฮิงญากับชาวพม่า ต้องเกลียดเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท และชิงชังกันมาตลอดช่วงนับร้อยๆ ปี จุดเริ่มต้นมันก็มีที่มาจากบรรดาผู้ดีอังกฤษทั้งหลายนี่แหละ!!! ที่ไปฉุดกระชากลากถูชาว “เบงกาลี” นับล้านๆ จากแคว้นเบงกอลให้ไหลมาสร้างปัญหาให้กับชาวพม่าในรัฐยะไข่ โดยอาศัยศาสนา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันเป็นคนละเรื่อง คนละม้วน เป็นเครื่องมือ หรือเป็น “ก้างขวางคอ” เพื่อไม่ให้ชาวพม่าสามารถสร้างปัญหาให้ตัวเอง หรือให้กับ “จ้าวอาณานิคม” อย่างอังกฤษได้ถนัดๆ ตามแบบฉบับลีลา “แบ่งแยกและปกครอง” นั่นเอง...

แต่มาถึงทุกวันนี้...แทนที่อังกฤษจะเกิดความ “สำนึก” ในความชั่ว ความเลวร้าย ของบรรพบุรุษตัวเองเมื่อครั้งอดีต การหยิบเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนมาใช้เป็นข้ออ้างในการตัดความช่วยเหลือรัฐบาลพม่า ก็ยังทำได้แบบ “ไม่เนียน” หรือออกจะหยาบๆ ง่ายๆ ถ่อยๆ เถื่อนๆ ไม่ได้แสดงออกถึง “สมบัติผู้ดี” เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะขณะที่ตัวเองหยิบเอาเรื่องสิทธิความเป็นมนุษย์ของชาวโรฮิงญามาแสดงความสูงส่งของตัวเอง รัฐบาลอังกฤษทุกวันนี้...กลับไม่ได้มองเห็นถึงสิทธิความเป็นมนุษย์ของ “ชาวเยเมน” เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะระหว่างที่ตัวเองขนอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าไม่รู้จะกี่พันกี่หมื่นล้านดอลลาร์ไปขายให้กับกองทัพซาอุดีอาระเบียเพื่อไว้ใช้เล่นงานประเทศเยเมน จนนำไปสู่การสังหารหมู่ผู้คนนับหมื่นนับแสน หนักซะยิ่งกว่าชาวโรฮิงญาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า ชนิดอาจถือเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ฉบับของจริง-ของแท้ เพราะไม่เพียงพลเรือน เด็ก ผู้หญิง คนแก่ ที่ตายไปแล้วนับหมื่นๆ ผู้ที่ต้องรอความตายเพราะการอดอาหาร ขาดยารักษาโรค เกิดภาวะโรคระบาดแผ่ลุกลามไปทั่วประเทศ ฯลฯ จำนวนไม่น่าจะต่ำกว่า 18 ล้านคนเป็นอย่างน้อย...

โดยเฉพาะการขาย “ระเบิดพวง” หรือ “Cluster Bombs” ให้กองทัพซาอุฯ โดยไม่ได้สนใจเหตุผลข้อห้ามใน “อนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง” (Convention on Cluster Munitions) เอาเลยแม้แต่น้อย แม้จะมีประเทศนับร้อย รวมทั้งบรรดาประเทศในสหภาพยุโรป ให้การรับรองและให้สัตยาบันต่อข้อห้ามดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ตัวเองดันถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป จนสามารถเซ็งลี้อาวุธชนิดนี้ต่อไปได้อย่างหน้าตาเฉย ด้วยเหตุนี้ การแสดงออกถึงความรักและหวงแหนสิทธิมนุษยชนของผู้ดีอังกฤษอย่าง “นางเทเรซา เมย์” จึงเป็นอะไรที่ “Liar” หรือ “แหล” อย่างชนิดแทบ “อ้วกแตก” ขึ้นมามิได้...

ต่างไปจากท่าทีแบบเจ๊กๆ จีนๆ แม้มักจะถูกกล่าวหาในเรื่องขี้ๆ เยี่ยวๆ ไม่เป็นที่เป็นทาง ประเภทขี้ใส่วัดร่องขุ่นของ “อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” อะไรทำนองนั้น แต่การแสดงออกในกรณีปัญหารัฐบาลพม่ากับชาวโรฮิงญาของรัฐบาลจีน ต้องยอมรับเอาจริงๆ ว่า...ค่อนข้างแสดงให้เห็นถึงความมีสติ วุฒิภาวะ หรือกระทั่งความมี “สมบัติผู้ดี” ที่น่าประทับใจมิใช่น้อย ดังปรากฏเป็นข่าวคราวถึงกรณีที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายหวัง อี้” ได้กล่าวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างพบปะกันและกันเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ประมาณว่า... “ปัญหาโรฮิงญา เป็นเรื่องเรื้อรัง ยาวนาน ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ภารกิจเร่งด่วนขณะนี้...ก็คือการคลี่คลายความตึงเครียดแห่งการเผชิญหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หลีกเลี่ยงการทำอันตรายต่อผู้บริสุทธิ์ ป้องกันวิกฤตด้านมนุษยธรรมไม่ให้แพร่ลุกลามขยายวงออกไป รวมทั้งควรแสดงความเห็นใจต่อความยากลำบากของผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ต้องสนับสนุนและให้กำลังใจต่อทั้งรัฐบาลพม่าและรัฐบาลบังกลาเทศ เพื่อให้เกิดการแสวงหาหนทางแก้ปัญหาบนพื้นฐานการเจรจาและการปรึกษาหารือ...” นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า ไม่ได้มีร่องรอยแห่งการ “ขากถุย” ให้เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย ต่างไปจากผู้ดีอังกฤษไปจนถึงอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” โน่นเลย ที่อุตส่าห์ถ่อไปขากอะไรต่อมิอะไรถึงสหประชาชาติ จนโลกทั้งโลกแทบ “อ้วกแตก” กันไปเป็นแถวๆ...
กำลังโหลดความคิดเห็น