xs
xsm
sm
md
lg

หมองู Bell Pottinger ตายเพราะงู (ตอน 3)

เผยแพร่:   โดย: .สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา</b>
บทบาทของบริษัทประชาสัมพันธ์โดดเด่นแห่งยุค เป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษที่ออกอุบายเล่ห์เหลี่ยมพราวพรายบิดเบือนจนรัฐบาลอังกฤษของ James Callaghan จากพรรคแรงงานต้องพ่ายให้กับสตรีเหล็ก (Iron Lady) มาร์กาเรต แทตเชอร์ ทั้งๆ ที่พรรคแรงงานกำลังแสดงฝีมือผลักดันตัวเลขอัตราว่างงานที่เคยสูงถึงกว่า 20% ให้ลดลงมาอยู่ที่ 10% ก็ตาม

ฝีมือบิดเบือน (Spin Doctor) ของนายTim Bell เป็นที่กล่าวขานในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ด้วยภาพโปสเตอร์ประวัติศาสตร์ว่า พรรคแรงงานไม่ใช่คำตอบ (Labor isn’t Working) โดยการจัดฉากถ่ายภาพเป็นคนตกงานแถวยาวเหยียดเป็นกิโลทีเดียว เพื่อเข้าแถวรองรับสวัสดิการคนว่างงาน (ถ้าเลือกพรรคนี้เข้ามาอีก)

รัฐบาลของ James Callaghan เข้ามา หลังจากรัฐบาลแรงงานของ Harold Wilsm ครองตำแหน่ง 2 ปี (1974-1976) เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องงัดเอาการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีเคนเซียน (Keynesian Spending Programs) คือรัฐจ้างงานและสวัสดิการมากมายให้คนตกงาน จนเศรษฐกิจเริ่มผงกหัวขึ้น แต่ยังไม่ฟื้นเร็วเท่าที่ควรจะเป็น ก็เลยต้องพ่ายแพ้ให้กับฝีมือบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อของ Tim Bell

เหตุการณ์ครั้งนั้น ดูจะคล้ายๆ กับการที่ Hillary Clinton แพ้การเลือกตั้งให้กับ Donald Trump ที่สหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของโอบามากำลังฟื้นตัว และทั้งโอบามาและฮิลลารีต่างย้ำนักย้ำหนาว่า “ถ้าใครพูดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีปัญหา และต้องเปลี่ยนจากรัฐบาลเดโมแครตไปเป็นรีพับลิกันละก้อ ถือเป็นการ เขียนนวนิยายโกหก”

และย้อนไปสมัยปี 1992 ที่อดีตปธน.บิล คลินตัน ชนะ ก็เพราะเขาใช้วลีว่า “It’s the Economy, Stupid” เพราะเขาเสนอวิธีฟื้นเศรษฐกิจจากที่กำลังถดถอย โดยชี้ให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังแย่มาก่อนที่เขาจะชนะเลือกตั้ง แม้คู่แข่งของบิล คลินตันคือ ปธน.บุช (ผู้พ่อ) จะเพิ่งชนะสงครามอ่าวเปอร์เซียก็ตาม

แต่ นายทรัมป์แกก็คือ Tim Bell นั่นเอง เพราะแกจี้จุดกับคนชั้นกลางผิวขาวที่กำลังตกงานตามเมืองในชนบท ในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานแบบเก่า ไม่ว่าจะเป็นเหมืองถ่านหิน, เหล็ก เป็นต้น ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเทคโนโลยีใหม่คือ Robots (หุ่นยนต์) และปัญหาจากการค้าเสรี ซึ่งสรุปได้ว่า มาจาก 2T’s คือ Tech&Trade

พวกที่ถูกกระตุ้นจากทรัมป์ที่เป็นมือเซียนด้านการปชส.ใส่คำขวัญ “America First” Make America Great Again” ที่แสนจะเข้าถึงใจคนตกงาน เมื่อเทียบกับ คำขวัญแสนจืดของฮิลลารีว่า “Stronger Together”

ประกอบกับวิธีจิกหัวคน โดยเรียกสมญานามทางลบที่ทรัมป์เริ่มขึ้นตั้งแต่ไก่โห่ว่า “Crooked Hillary” หรือ “Lying Ted” สำหรับ ส.ว. Ted Cruz คู่แข่งคนสำคัญในพรรครีพับลิกัน กลายเป็นวลีติดปากที่ฮิลลารีและเทตครูซแกะไม่ออก

วิธีการนี้ เราได้เห็น 2 ลักยมนำคำว่า “ไพร่” และ “ทหารยิงปชช.” มาใช้ จนติดปากอยู่นานเป็นปี ก็เป็นวิธีบิดเบือนที่ได้ผลจนบ้านแตกสาแหรกขาดเห็นๆ กันอยู่

เมื่อแทตเชอร์เข้ามาเป็นของนายกฯ อังกฤษ พรรคอนุรักษนิยมก็ยังใช้บริการของ Tim Bell ในเรื่องนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่างๆ เขาได้ไปเป็นที่ปรึกษาในโครงการแปรรูปมากมาย และออกข่าวประชาสัมพันธ์แบบลบสุดๆ ให้แก่ขบวนการคัดค้านการแปรรูปของกลุ่มนักวิชาการปัญญาชน และสหภาพแรงงาน

นายพล Pinochet ที่ทำรัฐประหารเลือดที่ประเทศชิลี เมื่อปี 1979 โดย Pinochet เป็นรมต.กลาโหมที่นำกำลังบุกล้อมทำเนียบที่มีประธานาธิบดี Allende (อัลเยนเด้) กำลังอยู่ภายในทำเนียบกับรัฐมนตรีบางคน

ครั้งนั้นเป็นสมัยที่ Dr.Henry Kissinger เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงทางทำเนียบขาว และมีคำสั่งลับร่วมกับ Pentagon (กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ) ให้โค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของคุณหมออัลเยนเด้ เพราะมีแนวทางแข็งข้อกับทำเนียบขาว และใช้แนวทางประชานิยม สังคมนิยม

กองกำลังของนายพลปิโนเชต์ ใช้ปืนใหญ่ยิงเข้าไปยังทำเนียบ และหมออัลเยนเด้ก็ถูกยิงจนตายคาทำเนียบ

นายพลปิโนเชต์ กวาดล้างเหล่าปัญญาชน, นิสิต, นักศึกษา, สหภาพแรงงาน, ชาวนา, Ngos รวมทั้งบาทหลวงคริสต์จำนวนเป็นหลายพัน โดยไปกักไว้ที่สนามกีฬาใหญ่ และเข่นฆ่าทรมานตายจำนวนเป็นหลายร้อยคน

อัยการประเทศสเปนฟ้องที่ศาลสเปน กรณี บาทหลวงชาวสเปนถูกจับทรมานจนตาย ด้วยฝีมือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงในการทำรัฐประหารเลือดของเขา ต่อมาได้ฟ้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศด้วยอาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชน ศาลอาญาอาชญากรรมระหว่างประเทศได้ออกหมายจับนายพลปิโนเชต์ไปทั่วทั้งสหภาพยุโรป

นายพลปิโนเชต์ได้บริหารประเทศภายใต้การทำรัฐประหารอีกหลายปี จนต่อมาได้กลายเป็นวุฒิสมาชิกตลอดชีวิต แต่เขาก็เกิดเจ็บป่วยยามชรา และได้เดินทางมารักษาตัวที่อังกฤษ ตรงนี้ก็เข้าทาง หมายจับอาชญากรรมระหว่างประเทศทันที

นางแทตเชอร์ได้พยายามปกป้องไม่ให้ส่งนายพลปิโนเชต์ไปถึงศาลอาญาที่กรุงเฮก และนางได้ติดต่อ Tim Bell เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยงานบิดเบือนปชส.ในครั้งนี้

เขาได้ออกข่าวปชส.ทั้ง ทางลับและเปิดเผย พร้อมจัดให้มีการเดินขบวนสนับสนุนปิโนเชต์ ที่ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วหลบไปพักฟื้นที่บ้านที่นางแทตเชอร์จัดให้

โปสเตอร์รณรงค์ฝ่ายสนับสนุนปิโนเชต์มีรูปชายชราปิโนเชต์หน้าตาเป็นคนแก่ใจดีไม่มีพิษสงใดๆ และเนื้อหาบ่งถึงชายชราที่กำลังเจ็บป่วย ต้องการกลับบ้านที่ชิลี

ต่อมาได้มีวิธีการที่ลึกลับ และอำนวยการโดยแทตเชอร์ และทิมเบลจนทำให้นายพลปิโนเชต์แอบกลับไปชิลีได้ ทั้งๆ ที่กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากการทำโหดร้ายของปิโนเชต์ไปชุมนุมล้อมทั้งรพ. และบ้านพักที่เขาพักพิงอยู่ แต่ก็หลุดออกไปตายที่ชิลีในอีกหลายปีต่อมา

ลูกค้าของบ.Bell Pottinger ก็จะมีบรรดาเผด็จการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศของตนอีกมากมาย เช่น ประธานาธิบดีแห่งประเทศ Belarus (ในอดีตเครือสหภาพโซเวียด) ที่ล้มรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประธานาธิบดีได้ตลอดชีวิต, ภรรยาของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย (น่าจะเป็นวิธีการที่ต้องการ ปกปิดซ่อนเร้นให้ Bell Pottinger ทำงานปชส.ให้กับสามี แต่ให้หันเหเป็นว่า ภรรยาของ Assad เป็นลูกค้าแทน) รวมถึง “โลกล้อมไทย” ของนายหน้าเหลี่ยมด้วย

ที่สำคัญคือ ช่วงสงครามอิรักที่สหรัฐฯ บุกแบกแดด ด้วยข้อกล่าวหาว่า ซัดดัมมีอาวุธสุดร้ายแรง (WMD-Weapons of Mass Destruction) เมื่อปี 2003 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ว่าจ้าง Bell Pottinger ทำงานปชส.ให้กองทัพอเมริกันในการบุกอิรัก เพื่อให้ข่าวทั้งทางเปิดเผยและทางลับว่า กองทัพอเมริกันมีความชอบธรรมที่จะปราบซัดดัม และกองทัพอเมริกันกำลังประสบผลสำเร็จชัยชนะในการรุกคืบ

กรณีล่าสุดผลงาน Tim Bell คือการไปบิดเบือนว่า พวกฝ่ายค้านและปัญญาชน, สหภาพแรงงานที่ออกมาเปิดโปงการบริหารไม่โปร่งใสของรัฐบาลปธน. Jacob Zuma ที่เอื้อให้กับอาณาจักรธุรกิจตระกูล Gupta (คุปตะ) รณรงค์พุ่งเป้าไปที่ธุรกิจของคนผิวขาวว่าเป็นกลุ่มที่กำลังโจมตีตระกูลคุปตะ และรัฐบาลเพราะกำลังเสียผลประโยชน์

ฝ่ายค้ายในสภาได้พบแผนสกปรกชั่วช้า จึงนำเรื่องฟ้องไปยัง สมาคมการค้าคือ Public Relations+Communications Association ที่อังกฤษ จนมีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ขับบ.Bell Pottinger ออกจากสมาคมการค้าแห่งนี้

Lord Tim Bell ปฏิเสธเป็นพัลวันในรายการ News Night ของ BBC (หลังบริษัทถูกขับออกจากสมาคม) ว่าเขาไม่รู้ ไม่เห็นกับการกระทำของพนักงานระดับล่างที่คิดแผนปชส.จนเกิดการร้าวฉานแตกแยกที่ประเทศแอฟริกาใต้ ที่นักธุรกิจคนขาวจะมองหน้าคนดำไม่ติด และคนดำจะมองคนขาวทุกคนเป็นศัตรูร้ายกาจหมด

ผู้ดำเนินรายการของ BBC บอกว่า แต่ท่าน Lord Bell เป็นประธานบริษัท ต้องรับผิดชอบซิ และคุณก็นั่งอยู่ในพิธีลงนามว่าจ้างบริษัทจากตระกูลคุปตะด้วย เขาโกหกหน้าตาเฉยบิดเบือนตอบทันทีว่า ผมไปนั่งในพิธีเซ็นสัญญาก็เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ผมไม่ได้ร่วมบริหารหรือดำเนินการใดๆ กับงาน (ชั่วๆ) ที่เกิดที่แอฟริกาใต้

ปิดตำนานหมองู-ตายเพราะงูไปอีกครั้ง สำหรับประวัติศาสตร์งานการเมืองและประชาสัมพันธ์ที่สกปรกคดีหนึ่งของโลกเรา
กำลังโหลดความคิดเห็น