xs
xsm
sm
md
lg

แก้ผ้าหารายได้ : การขายความเป็นคน

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

แต่ก่อนคนเรายังโง่เสื้อผ้าก็ยังไม่มี นี่คือเนื้อความตอนหนึ่งในหนังสือแบบเรียนเร็วใหม่เล่มหนึ่งตอน ซึ่งนิพนธ์โดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และใช้เป็นหลักสูตรภาษาไทยของชั้นประถมศึกษา สมัยที่ผู้เขียนเป็นนักเรียนและยังจำได้ว่าเนื้อข้อความนี้มีภาพประกอบเป็นคนป่านุ่งใบไม้ปิดอวัยวะเพศ และถือท่อนไม้ทำนาล่าสัตว์

จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า คนในยุคนั้นยังเป็นคนป่าอาศัยอยู่ในน้ำ ไม่รู้จักทำที่อยู่อาศัย ล่าสัตว์กิน แต่ก็ยังมีความละอายต่อการเปิดเผยอวัยวะเพศของตน

แต่คนในยุคนี้มีความเจริญ มีเสื้อผ้าหลากหลายให้สวมใส่ มีที่อยู่อาศัยหรูหรา แต่เลือกที่จะไม่นุ่งห่มเสื้อผ้าเพื่อสนองตัณหา

อีกประการหนึ่ง ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ฟังและเคยได้เห็นคำพูดที่ว่า อำนาจ วาสนา และบารมีเป็นข้อความเดียวกันบ่อยๆ และ 3 คำนี้เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน ซึ่งมีความหมายว่าผู้ที่มีอำนาจจะต้องมีวาสนา และบารมีรองรับการมีอำนาจเท่านั้น การมีอำนาจจึงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวม

เพื่อให้ท่านผู้อ่านรู้และเข้าใจความหมายของคำ 3 คำดังกล่าว ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตอธิบายดังต่อไปนี้

1. อำนาจหมายถึงความยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น ความน่าเกรงขามในสายตาของผู้พบเห็น แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามเหตุที่เกิดคือ

1.1 อำนาจเกิดจากเงิน (Money Power)

1.2 อำนาจเกิดจากอำนาจหน้าที่ (Authority Power)

1.3 อำนาจเกิดจากการถูกใช้ในการอ้างอิง (Reference Power)

2. วาสนาหมายถึงการมีวิบากกรรมเกื้อกูลให้เป็นคนดี มีคนเคารพนับถือ

3. บารมีหมายถึงการที่มีคนเคารพนับถือ และเกรงในความดีอันเกิดจากการเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความรู้ ให้โอกาส และให้อภัย

ดังนั้น คนมีอำนาจจะใช้อำนาจโดยธรรมได้จะต้องเป็นคนมีวาสนา และมีบารมี

แต่ในความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน คนมีอำนาจและใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมมีให้พบเห็นดาษดื่น และมีอยู่ไม่น้อยที่การใช้อำนาจไม่ชอบธรรมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศในสายตาของชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้อำนาจเงินควบคู่กับใช้อำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัยดังนี้

ในบรรดาอำนาจ 3 ประการดังกล่าวข้างต้น อำนาจจากการมีเงินกับอำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ จะต้องอิงอาศัยกันจึงจะเกิดพลังแห่งอำนาจอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้จะเห็นได้จากวิวัฒนาการแห่งอำนาจทั้ง 2 ประการนี้จากอดีตความเป็นมาของการเมืองไทยจากปี 2475 จนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นดังนี้

ขั้นแรก ซึ่งอยู่ในระยะที่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีความมั่นคง นายทุนผู้มีอำนาจเงินจะใช้เงินสนับสนุนนักเลือกตั้งที่คาดว่าจะได้รับเลือกตั้ง และมีโอกาสได้ตำแหน่งทางการเมือง แต่ในขณะเดียวกันต่อสายสัมพันธ์กับข้าราชการประจำ ซึ่งอำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำในกองทัพและข้าราชการระดับสูงในฝ่ายปกครอง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยไปสู่ระบอบเผด็จการ ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งหลังมีการเลือกตั้ง และมีการจัดตั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยได้ไม่นาน ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม 4 ปีทุกรัฐบาลในช่วงปี 2475 จนถึง 14 ตุลาฯ 2516

ขั้นที่สอง ในระยะปี 2516-2544 ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยเริ่มมั่นคงขึ้น เนื่องจากประชาชนตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น นายทุนเริ่มลงมาแสวงหาอำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเอง และแสวงหาโอกาสในการได้มาซึ่งตำแหน่งบริหารประเทศเพิ่มขึ้น และนายทุนหลายคนประสบความสำเร็จในการแสวงหาอำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่โดยอาศัยการเลือกตั้งเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ขั้นที่สาม นายทุนได้ทุ่มสุดตัวในการแสวงหาอำนาจ อันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่โดยการจัดตั้งพรรคการเมืองเอง และเป็นผู้บริหารเอง โดยอาศัยประสบการณ์ในการทำธุรกิจ ทำให้มีกิจกรรมทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งในแง่ลบและแง่บวก ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรกที่เลือกแนวทางนี้ และประสบความสำเร็จในการแสวงหาอำนาจอันเกิดจากการมีตำแหน่งหน้าที่ โดยอาศัยอำนาจเงิน แต่ต้องจบลงและจากวงการเมืองไทย เนื่องจากการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม และการเมืองในแนวทางนี้มิได้ทำให้ผู้เริ่มเพียงคนเดียวต้องจบลงด้วยชะตาเดียวกันคือได้รับโทษทางอาญาด้วยการถูกจำคุก เนื่องจากการใช้อำนาจอันเกิดจากมีตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ

ดังนั้น วันนี้พิสูจน์ได้ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า การมีอำนาจและใช้อำนาจยังคงเป็นอกาลิโกอยู่เช่นเดิม แม้เวลาผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น