xs
xsm
sm
md
lg

มองกรณีโรฮิงญาอย่างมีสติ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นางอองซาน ซูจี</b>
วันนี้...คงต้องเขยิบๆ จากแถบคาบสมุทรเกาหลี แถบจีน ลงมาทางใต้ๆ แถวๆประเทศพม่า หรือเมียนมากันดูซักหน่อย เพราะข่าวคราวเรื่อง “โรฮิงญา” หรือจะเรียกว่า “เบงกาลี” ก็แล้วแต่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ออกจะมาแรงแซงโค้ง ซะเหลือเกิน แรงระดับที่ทำให้วีรสตรีนักประชาธิปไตยแห่งพม่า อย่าง “นางอองซาน ซูจี” ถูกไล่บีบ ไล่บี้ ถูกเรียกร้องให้ริบรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพกลับคืนซะอีกต่างหาก หนักซะยิ่งกว่าครั้งถูก “อองซวย ปูหนี” ตามโหนมาเป็นปีๆ ประมาณสี่หมื่นห้าพันเท่าเป็นอย่างน้อย...

คือมีทั้งเจ้าของรางวัลโนเบิล ไพรซ์ ที่อายุน้อยที่สุด อย่าง มาลาลา ยูซาฟไซ” ออกมากระตุ้น กระชุ่นรุ่นพี่แบบหนักๆ แรงๆ ประมาณว่าไม่ได้ดูดำ ดูดี แทนที่จะเป็นเดือดเป็นร้อน กลับหันไป “อมสากกะเบือ” เอาซะนี่ ทั้งๆ ที่เสรีภาพและสิทธิ มนุษยชนของชนกลุ่มน้อยในพม่า อย่างชาวโรฮิงญา กำลังถูกกระทำย่ำยี โดยกองทัพรัฐบาลพม่าอย่างชนิดแหลกลาญยับเยิน มีทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตียร์เรส” ที่ออกมาป่าวประกาศถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้อพยพชาวโรฮิงญา เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าและชาวโลกเร่งแสดงความรับผิดชอบ ไปจนถึงบรรดาผู้นำโลกมุสลิมหลายต่อหลายประเทศ ที่อดปวดแสบปวดร้อน แทนพี่น้องมุสลิมด้วยกันอย่างชาวโรฮิงญาขึ้นมาไม่ได้ จนถึงขั้นองค์การระหว่างประเทศของชาวมุสลิม อย่าง “ISESCO” หรือองค์การด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมอิสลาม ต้องออกมาเสนอให้คณะกรรมการรางวัลโนเบล ยึดรางวัลคืนจาก “อองซาน ซูจี” เอาเลยถึงขั้นนั้น...ฯลฯ...

และเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้...วีรสตรีประชาธิปไตยและผู้นำรัฐบาลพม่าปัจจุบัน อย่าง “นางอองซาน ซูจี” เธอก็ได้ “คายสาก” ออกมาเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว คือออกมายืนยันประมาณว่าตัวเธอและรัฐบาลของเธอ พร้อมเสมอที่จะช่วยปกป้องสิทธิ เสรีภาพของบรรดาชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญามาโดยตลอด แต่เหตุที่มันยังมีข่าว มีคราว เรื่องการกระทำย่ำยีชาวโรฮิงญาชนิดจินตนาการไปถึงขั้นความพยายามก่อ “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” เอาเลยถึงขั้นนั้น วีรสตรีประชาธิปไตยรายนี้เธอได้อธิบายด้วยคำพูดประโยคสั้น แต่มีความหมายลึกซึ้ง และกว้างไกลเอามากๆ นั่นคือคำว่า “ยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งข้อมูลที่ผิดพลาด” ที่พยายามมุ่งไปสู่การสนองตอบ “ผลประโยชน์แห่งการก่อการร้าย” นั่นแหละเป็นหลัก...
<b>ชาวโรฮิงญาเริ่มทยอยเดินทางหลบหนีการปราบปรามในฝั่งพม่ามาที่ค่ายผู้ลี้ภัย</b>
อันนี้...ต้องเรียกว่า เป็นอะไรที่น่าอึ้ง-ทึ่ง-เสียวเอามากๆ คืออาจพอช่วยให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะผู้ที่เคยรู้เรื่อง รู้ราวของบรรดาชนกลุ่มน้อยเหล่านี้อยู่บ้าง คงต้องหันมาคิดๆ เอาไว้มั่ง ส่วนผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเค้าเลย ประเภทไหลตามกระแสไปวันๆ เขาประชาธิปไตยก็ประชาธิปไตยไปกับเขา เขาซูจีก็ซูจีไปเรื่อยๆ อันนั้น...คงต้องปล่อยให้เป็นอาหารเต่า ปู ปลา ไปตามเรื่อง ตามราว เพราะโดยรากเหง้า พื้นฐาน อันดับแรกแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...บรรดาชนกลุ่มน้อยชาวพม่าที่ถูกเรียกว่า “โรฮิงญา” หรือ “เบงกาลี” ก็แล้วแต่ เขาคือผู้ที่ถูกพวก “จักรวรรดินิยมอังกฤษ” นำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อ “แบ่งแยกและปกครอง” ประเทศพม่าในยุคที่ต้องตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ มาตั้งแต่เกือบๆ 200 ปีที่แล้วโน่นเลย คือจู่ๆ ก็ไปขนเอาผู้คนที่อยู่ในแถบชายแดนบังกลาเทศจำนวนนับล้านๆ เข้ามาอาศัยในดินแดนพม่า โดยไม่ได้สนใจความแตกต่างเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ค่านิยม ความเชื่อ ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับอาศัยความแตกต่างเหล่านี้นี่แหละ เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับประเทศพม่าเพื่อที่จะไม่ได้มีโอกาสลุกขึ้นมาแก้ปัญหาของตัวเอง...

และบรรดาความขัดแย้ง แตกต่าง ที่ถูกบ่มเพาะต่อเนื่องมานับร้อยๆ ปีนี่เอง จึงไม่เพียงแต่ทำให้การแก้ปัญหาชาวโรฮิงญาในพม่าเป็นอะไรที่สุดแสนสลับซับซ้อน ยากซ์ซ์ซ์ลำบากเอามากๆ ยังอาจถูกหยิบมาใช้เป็น “เครื่องมือ” ณ ขณะปัจจุบันและในอนาคตเบื้องหน้าได้อีกต่อไป โดยไม่ใช่แค่เป็นตัวสร้าง “ปัญหาภายใน” ของประเทศพม่าเท่านั้น แต่ยังสามารถเอาไปใช้สร้างปัญหาให้กับคุณพี่จีน ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงโลกทั้งโลกอีกด้วย!!!

อย่างที่ “นายดมิตรี มอสยาคอฟ” (Dmitry Mosyakov) ผู้อำนวยการสถาบันตะวันออกศึกษา (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย โอเชียเนีย) สภารัฐบัณฑิตแห่งรัสเซีย ได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซีย เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมานั่นแหละว่า ปัญหาความขัดแย้งกรณีชาวโรฮิงญาในพม่า ได้ก่อให้เกิดมิติประมาณ 3 มิติด้วยกัน คือ 1.ได้ทำให้โครงการลงทุนด้านพลังงานจำนวนมหาศาลของจีนในรัฐอาระกันหรือยะไข่ ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง ไร้เสถียรภาพขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ 2. ได้กลายเป็นตัวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกันเอง ไม่ว่าระหว่างพม่ากับประเทศมุสลิมอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย เผลอๆ อาจรวมไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเข้าไปด้วย และ 3. ได้สร้างแรงกระตุ้นให้กับกระแสมุสลิมสุดโต่ง ที่มีพื้นฐานรองรับอยู่ในประเทศซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยตลอดทั่วอาณาบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนิดที่อาจส่งผลให้เกิดแฟรนไชส์ของพวก “ไอซิส” ขึ้นมาในพื้นที่แถบนี้ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

ไม่ว่าข้อสังเกตที่ว่านี้จะจริง-ไม่จริง...แต่คงต้องเก็บมาคิดๆ เอาไว้มั่ง เหมือนอย่างที่ต้องหยิบเอาคำว่า “ยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งข้อมูลที่ผิดพลาด” ของวีรสตรีนักประชาธิปไตยชาวพม่า มาใช้เป็นเครื่อง “เตือนสติ” นั่นเอง ไม่งั้น...อาจต้องหนักไปทาง “อองซวย ปูจี” กันแทนที่ คือประเภท “ดิฉัน...พร้อมตายคาสนามประชาธิปไตย” แต่สุดท้าย...ก็หนีลงรูปูไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว คือสิทธิ เสรีภาพ คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์นั้น ย่อมถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรค่าแก่ปกป้องไม่ว่าจะมนุษย์กลุ่มไหน ชาติไหน แต่ถ้าหากดันไปปกป้องอย่าง “ไร้สติ” ไหลไปตามกระแส โดยไม่ได้คิดหันมาสนใจ “ข้อเท็จจริง” กันบ้างเลย โอกาสต้องกลายสภาพเป็นนักประชาธิปไตยประเภท “ถูกหลอกแ-ก” ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่คิดจะเข็ด ย่อมมีความเป็นได้อยู่เสมอๆ นั่นแล...
กำลังโหลดความคิดเห็น