xs
xsm
sm
md
lg

ฉันมีสองปีก

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

เดือนเมษายนปีนี้ 2560 (2017) ร้อนมหาโหดจาก 3 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น เป็นช่วงที่ร้อนสุดๆ ขนาด 40 องศาทีเดียว ผู้คนทั้งหลายต่างขังตัวอยู่ในห้องแอร์ คนทำธุรกิจแอร์จึงได้โอกาสขุดทองเต็มที่

เช้าๆ ฉันมักเดินเล่น และนั่งพักรับอรุณข้างต้นสาละ ชำเลืองมองดอกสาละพลิ้วไหวยามต้องลม ดูนกนานาชนิดหาอาหารตามทางเดิน และทะยานสู่ห้วงหาวอย่างเริงร่า ฉันเพลิดเพลินกับธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง

“กาแฟค่ะ คุณตา” เสียงหลานรักกระซิบข้างกาย

“ตาดูอะไร” หลานกังขา

“ดูนกบินจ้า มันน่ารัก และน่าอัศจรรย์” ตาบอกหลานขณะที่ตาไม่ละสายตาจากเวิ้งฟ้า

“นกบิน มันอัศจรรย์อย่างไร” หลานไม่สิ้นสงสัย

“มันอัศจรรย์ตรงที่นกมีสองปีก เหมือนกับคนก็มีสองปีก” ตาพรรณนา

“คนมีสองแขน และสองขา ไม่ใช่มีสองปีกเหมือนนกค่ะตา นกบินได้ คนบินไม่ได้” หลานฟันธงอย่างเอาจริงเอาจัง

“คนมีสองปีก” ตายืนยันเหมือนเดิม

แล้วหลานก็จากไปแบบงงๆ (หลานคงคิดว่า อัลไซเมอร์เล่นงานตาซะแล้ว)

โดยธรรมชาติ นกเดินก็ได้ บินก็ได้ โดยใช้ขาเดิน และใช้ปีกบิน

คนก็เช่นกัน ใช้ขาเดิน และใช้เทคโนโลยี (เครื่องบิน) บิน

นี่-เป็นเรื่องธรรมดา ที่รู้เห็นกันอยู่

แต่ “สองปีก” ที่จะกล่าวในบทความนี้ มิใช่มีสองปีกเฉพาะฉันหรอก ใครๆ ก็มีสองปีกทั้งนั้น...

ฟังหน่อยนะ ฉันจะปรุงแต่งให้ฟัง และเพียงดูมันเพลินๆ สบายๆ อย่างนกบิน

ความคิดของคนเรามีอยู่ 2 ระดับ คือระดับมีจิต และระดับไร้จิต

หรืออาจจะกล่าวอีกอย่างว่า ระดับความคิด เมื่อเราอยู่บริเวณรอบนอกของความเป็นตัวเรา และระดับความคิด เมื่อตัวเราอยู่ที่ศูนย์กลางของความเป็นตัวเรา

หรือเรียกง่ายๆ สไตล์ฉันก็คือ “หลับยืน-ตื่นรู้”

วงกลมทุกวงมีศูนย์กลาง เราอาจจะรู้หรืออาจไม่รู้ก็ตาม เราอาจไม่ได้สงสัยว่ามีศูนย์กลางแต่จะต้องมี เราเป็นบริเวณรอบนอก เราเป็นวงกลม จะต้องมีศูนย์กลาง ถ้าไม่มีศูนย์กลางก็ไม่อาจเป็นตัวเราได้ จะต้องมีจุดกลางของความเป็นตัวเรา

ที่ศูนย์กลางนั้นเอง ที่เราเป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่กลับมาถึงบ้านแล้ว เมื่ออยู่บริเวณรอบนอก เราอยู่ในโลก ในจิต ในความฝัน ในความปรารถนา ในความกังวล ในเกมนับร้อยนับพัน และเราเป็นทั้งสองอย่าง

อาจมีบางชั่วขณะ ที่เราเห็นว่า เราได้เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า มีความสง่างามเช่นเดียวกัน มีความตระหนักรู้อย่างเดียวกัน ความเงียบอย่างเดียวกัน โลกแห่งความงาม โลกแห่งความสุข โลกแห่งพร

มีบางชั่วขณะ ซึ่งเราชำเลืองไปที่ศูนย์กลาง แต่มิอาจอยู่ได้อย่างถาวร ครั้งแล้วครั้งเล่า เราจะถูกโยนกลับไปยังบริเวณรอบนอก แล้วเราจะรู้สึกว่าโง่ เศร้า หงุดหงิด พลาดความหมายของชีวิต

เพราะเราอาศัยอยู่ในความคิดสองระดับ คือระดับแห่งบริเวณรอบนอก และระดับแห่งศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม เราจะค่อยๆ เคลื่อนจากบริเวณรอบนอกเข้าไปยังศูนย์กลาง และเคลื่อนจากศูนย์กลางไปยังบริเวณรอบนอกได้อย่างนุ่มนวลทีละเล็กละน้อย เช่นเดียวกับเมื่อเราเดินเข้าบ้านและเดินออกจากบ้าน

ท่านโอโช่ กูรูตื่นรู้ กล่าวว่า... “ผู้ตระหนักรู้ ย่อมเข้าใจที่จะเคลื่อนจากบริเวณรอบนอกไปยังศูนย์กลาง จากศูนย์กลางไปยังบริเวณรอบนอก เขาไม่เคยติดอยู่กับที่ใด จากตลาดไปจนถึงวัด จากที่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอกกลับไปสนใจเรื่องภายในตัวเอง

เขาเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะทั้งสองส่วนคือปีกของเขา ทั้งสองส่วนไม่ได้ต่อต้านซึ่งกันและกัน ทั้งสองส่วนอาจสมดุลได้ในทิศทางตรงกันข้ามกัน เพราะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าสองปีกอยู่ข้างเดียวกัน นกก็ไม่อาจจะบินขึ้นสู่ฟ้าได้

ทั้งสองปีกจะต้องสมดุล ทั้งสองปีกจะต้องอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม แต่แม้กระนั้นก็ยังเป็นของนกตัวเดียวกัน และรับใช้นกตัวเดียวกัน

โลกภายในและโลกภายนอกก็คือปีกของเรา

โอ้...พระธรรม นกนั้นแลเป็นครูของฉัน แค่ชำเลืองแล ดูนกบินเหินสู่ฟ้ากว้าง ก็ทำให้ฉันเห็นความจริงตามที่มันเป็น

“ฉันมีสองปีก
สองปีกเท่ากัน
นอกในคือฉัน
สองนั้นหนึ่งเดียว”

หลับยืน-ตื่นรู้, สังขาร-วิสังขาร, โลกียะ-โลกุตตระ, สมมติ-หลุดพ้น, มาร-เทพ, อสาระ-สาระ, เศร้าหมอง-ผ่องใส ฯลฯ คือปีกของฉัน คือปีกของเธอ ต้องสมดุลจึงจะบินได้ บินสูงเท่าไหร่ ก็เห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น

“คุณตาขา งานพยัคฆ์รำลึก 124 ปี เมื่อวันที่ 8-9 เมษายน 2560 ที่จบไปแล้ว คุณตาช่วยวิพากษ์หน่อยว่า เป็นอย่างไร” เสียงโทรศัพท์จากอาจารย์ลมโชย หารศรีภูมิ ผู้กรำงานด้วยหัวใจเบิกบาน

“ก่อนเห็นนกบิน เท่ากับไม่เวิร์ก หลังเห็นนกบิน เท่ากับเวิร์ก” ฉันตอบแบบไม่ค่อยจะรู้เรื่องตามสไตล์ฉัน

“แปลเป็นไทยเข้าใจง่ายๆ หน่อยค่ะคุณตา” ลมโชย ตอกย้ำ

“พอไปวัดไปวาได้จ้า” ฉันตอบแบบนกๆ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น