xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์กำลังเพิ่มอุณหภูมิของโลกให้ร้อนยิ่งขึ้น

เผยแพร่:   โดย: สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


ไม่เพียงแต่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี กรณีเกาหลีเหนือยังเดินหน้าทดลองขีปนาวุธทั้งพิสัยใกล้, กลาง, ไกลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งหลังสุดเกิดจากการซ้อมรบที่ค่อนข้างยาวนาน (มีนาคม+เมษายน) เป็นซ้อมรบร่วมสหรัฐฯ (ภายใต้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ คนใหม่ + กองทัพเกาหลีใต้) และการทยอยลำเลียงระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีสมรรถนะถึงชั้นบรรยากาศระดับสูง (THAAD) ที่รัฐบาลทรัมป์ได้รีบจัดส่งไปให้เกาหลีใต้ (ยังจำกันได้ไหม ถึงภาพการรับประทานอาหารค่ำที่ทรัมป์ต้อนรับผู้นำญี่ปุ่น อาเบะ และคณะอย่างอบอุ่นที่มาร์-อะลาโก้ อันเป็นรีสอร์ตหรูของทรัมป์ ที่ฟลอริดา แล้วเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้กระซิบที่หูของประธานาธิบดีทรัมป์ว่ามี โทรศัพท์จาก ดี.ซี.ภารกิจด่วนมาก ปรากฏว่าทรัมป์ บอกให้เอาโทรศัพท์มาให้เขาที่โต๊ะอาหาร และเขาได้ฟังรายงานด่วนถึงการยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของเกาหลีเหนือถึง 4 ลูก โดย 3 ลูกไปตกใกล้เขตน่านน้ำทะเลญี่ปุ่น เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และนั่นเป็นที่มาของการส่ง THAAD ไปเกาหลีใต้ทันที)

ระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD นี้ยิ่งยั่วยุให้เกาหลีเหนือยกเป็นเหตุผลของการถูกคุกคามจากเกาหลีใต้และสหรัฐฯ เพื่อเดินหน้าทดลองยิงขีปนาวุธต่อไป

และเมื่อรัฐมนตรีกลาโหม พลเอกเจมส์ แมททิส เพิ่งเดินทางไปเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็ได้ไปพูด 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. สหรัฐฯ ยังคงปกป้องทั้ง 2 ประเทศเยี่ยงมหามิตร และ 2. กรณีเกาหลีเหนือที่ไม่ฟังมติประณามของคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น คือยังเดินหน้าทดลองยิงขีปนาวุธ นายพลแมททิสย้ำว่า การตอบโต้ด้วยอาวุธยังเป็นวิธีการหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ อันนี้เป็นคำพูดแบบสายเหยี่ยวที่น่ากลัวมาก จนมีข่าวลือว่า สหรัฐฯ อาจใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อเกาหลีเหนือจนถึงอาจนำไปสู่ Regime Change คือเปลี่ยนผู้นำเกาหลีเหนือทีเดียว

ยังมีการ (แอบ) ทยอยส่งทหารอเมริกันไปยังสนามรบที่ตะวันออกกลาง ทั้งที่เยเมน (จนมีนายทหารหน่วย Seal ไปถูกยิงเรือบินตกและตายที่นั่น) และที่เมือง Raqqa (ซึ่งเดิมทหารสหรัฐฯ ในสมัยของโอบามา ทหารสหรัฐฯ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าซีเรีย ทหารสหรัฐฯ มีแต่ปฏิบัติการในอิรักตามคำเชิญของรัฐบาลอิรัก) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไอซิส เป็นจำนวนร้อยคนเกือบถึง 1 พันคน ซึ่งก็ทำให้อุณหภูมิของตะวันออกกลางสูงขึ้นกว่าสมัยโอบามา

ล่าสุด ทรัมป์เพิ่งลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี ซึ่งคล้ายๆ กฤษฎีกาของเรา เรียกว่า The Energy Independence Executive Order เมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคมนี้เอง อันนี้จะเป็นกฤษฎีกาที่ล้มล้างคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีโอบามา ที่ชื่อว่า Clean Power Act ที่นักสิ่งแวดล้อมวิจารณ์ว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง คือ ล้มล้างความพยายามสมัยโอบามาที่จะหยุด หรือลดการใช้พลังงานที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยโอบามาได้ไปลงนามกับข้อตกลงที่ปารีสในปีที่สุดท้ายของตำแหน่งประธานาธิบดี ร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อเดินหน้าในการพยายามลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก

ใน Clean Power Act มีสาระที่จะลดหรือ หยุดการใช้พลังงานจากถ่านหินในโรงไฟฟ้าที่สหรัฐฯ รวมทั้งเพิ่มการอุดหนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ทั้งจากดวงอาทิตย์ พลังงานลม

แต่ทรัมป์และพลพรรครีพับลิกันมองว่าข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์เรื่องโลกร้อนขึ้นทุกๆ วันนี้ เป็นการสร้างเรื่องเท็จ เป็น HOAX คือ กุเรื่องขึ้น ทรัมป์เคยพูดว่า จีนมีส่วนสำคัญกับการยอมรับว่าโลกกำลังร้อนขึ้นจากการใช้พลังงานคาร์บอน เพราะจีนกำลังต้องการให้สหรัฐฯ ต้องจ่ายต้นทุนที่สูงขึ้น เพื่อลดก๊าซโลกร้อน จีนจะได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต

อีกส่วนหนึ่ง คือ ทรัมป์โจมตีพวกเดโมแครต ว่าเป็นฝ่ายโวยวายเรื่องโลกร้อน เพราะพวกเดโมแครตไม่ใช่นักอุตสาหกรรมการผลิต และเพื่อโจมตีพวกรีพับลิกัน

ทรัมป์ย้ำในขณะลงนามในกฤษฎีกาใหม่นี้ว่าเขาต้องการให้อุตสาหกรรมถ่านหิน (ทั้งเหมืองและโรงงานไฟฟ้าใช้ถ่านหิน) ได้ฟื้นตัวขึ้นมา เพื่อการจ้างงานของชาวเหมืองถ่านหิน (ที่ลงคะแนนให้กับเขา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พวกกรรมกรถ่านหินเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต)

ผู้บริหารหน่วยงาน EPA (Environmental Protection Agency) ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ารัฐมนตรีชื่อสก็อตต์ พรูอิท (Scott Pruilt) เพื่อทำให้บทบาทปกป้องสิ่งแวดล้อม อันเป็นภารกิจหลักของ EPA ต้องเดี๊ยงไปอย่างไม่น่าเชื่อ

นายสก็อตต์ พรูอิท เคยเป็นอัยการรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งเป็นรัฐศูนย์กลางน้ำมัน มีทั้งฐานขุดเจาะ, ท่าเรือขนส่งน้ำมัน และมักมีเรื่องเรือขนส่งน้ำมัน หรือฐานขุดเจาะเกิดอุบัติเหตุ น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก และ EPA ก็จะลงโทษบริษัทน้ำมันตลอดเวลา

นายสก็อตต์ พรูอิท กลับเข้าข้างบริษัทน้ำมัน (ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐโอคลาโฮมา) อย่างออกนอกหน้า และถึงกับเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ EPA อยากจะให้ปิดหน่วยงาน EPA นี้เสีย จะได้ทำให้บริษัทน้ำมันหายใจสะดวกขึ้นมา เพราะ EPA เป็นผู้กำหนดมาตรฐานต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมน้ำมันก็ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของ EPA ทั้งสิ้น

ขณะนี้ ฝ่ายที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม เช่น Sierra Club เป็นกลุ่มที่ออกมาต่อต้านคำสั่งประธานาธิบดีทรัมป์ และย้อนกลับไปว่า ชื่อคำสั่งว่าจะทำให้พลังงานในสหรัฐฯ เป็นอิสระมากขึ้น กับการหันกลับมาใช้ถ่านหินและน้ำมันมากขึ้น

เซียร์ร่าคลับถามว่าจะเป็นอิสระในการใช้ถ่านหินได้อย่างไร ก็ในเมื่อสหรัฐฯ ไม่ต้องนำเข้าถ่านหินจากที่อื่นเลย ถ่านหินมีอยู่ทั่วไปในหลายรัฐของสหรัฐฯ

และกำลังมีความกังวลมากขึ้นว่า ข้อตกลงที่ปารีส ที่สหรัฐฯ ไปลงนามไว้ร่วมกับประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศจีนกำลังจะถูกเลิกล้มในที่สุด นั่นหมายความว่าสหรัฐฯ ในฐานะเป็นประเทศผู้นำของโลก กำลังไม่ปฏิบัติตามสัญญาประชาคมโลก และเป็นการเปิดทางให้ จีน กลับรับบทบาทที่รับผิดชอบอย่างสมศักดิ์ศรี ที่จะเป็นประเทศผู้นำของโลก

ก่อนหน้าการลงนามกฤษฎีกานี้ ทรัมป์ได้ประกาศอีกคำสั่งให้ทางการสหรัฐฯ เดินหน้าก่อสร้างท่อส่งน้ำมันที่คาราคาซังไว้ตามคำสั่งประธานาธิบดีโอบามา คือ Keystone XL ที่ผ่านรัฐเนบราสกา, และอีกแห่งที่ผ่านรัฐดาโกต้า ที่มีการประท้วงอย่างหนักจากรัฐบาลบุช ประธานาธิบดีคนที่ 43 ได้ประกาศให้มีการวางท่อส่งน้ำมันดิบจากแคนาดา ส่งมาตามทางเส้นใหม่ที่สั้นกว่าเดิม แต่ประชาชนในหลายๆ รัฐที่ท่อจะผ่านได้ออกมาขวาง มีดาราหนังและนักร้องดังๆ ไปร่วมประท้วงกับชาวเผ่าอินเดียนแดงเป็นเวลาหลายปี ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก จนกระทั่งโอบามาได้สั่งหยุดการก่อสร้าง เพราะมองว่าน้ำมันดิบจากแคนาดา ก็คือพวกไฮโดรคาร์บอนที่จะทำให้โลกร้อนขึ้น ในสมัยของโอบามาจะมีเงินงบประมาณมาช่วย EPA เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพลังงานชนิดหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นกังหันลม, พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานจากไฮโดรเจน เป็นต้น

ขณะนี้ ทรัมป์ได้ประกาศตัดลดงบของ EPA ลง 31 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจะได้นำสหรัฐฯ กลับสู่การใช้พลังงานจากไฮโดรคาร์บอนเพิ่มมากขึ้น

และโลกก็จะร้อนขึ้นๆ ในสมัยของทรัมป์นี่แหละ.
กำลังโหลดความคิดเห็น