xs
xsm
sm
md
lg

การปะทะทางอารยธรรม (จบ)/ทับทิม พญาไท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


อันที่จริง...สิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี “นายเมฟลุต คาวูโซกลู” เรียกว่า “สงครามศาสนา” (Wars of Religion) และอาจกำลังเริ่มขึ้นในยุโรปไปจนถึงอเมริกาเลยนั้น คงไม่ใช่สงครามศาสนาแบบ “คริสต์ปะทะกับอิสลาม”อย่าง “สงครามครูเสด” เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ซึ่งต้องรบราฆ่าฟันกันมาร่วมๆ 200 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะบรรดาชาวคริสต์ในยุคนี้...คงไม่ได้ “โง่” ถึงขั้น “น็อตหลุด” ขึ้นมาโดยทันที ที่ได้รับการปล่อยข่าวว่าพวกอิสลาม เอาสถานที่ประสูติขององค์พระเยซูไปทำเป็นคอกม้า อะไรทำนองนั้น...

ตรงกันข้าม...แม้แต่ประมุขสูงสุดทางศาสนาของชาวคริสต์นิกายคาทอลิกอย่าง “พระสันตะปาปาฟรานซิส” ตลอดไปจนองค์อื่นๆ ในช่วงหลังๆที่ผ่านมา ต่างพยายามหันมาสร้าง “ความสมานฉันท์ในทางศาสนา” ระหว่างคริสต์และอิสลามมาโดยตลอด ไม่ได้คิดจะเอา “ศาสนา” มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ แบบยุคก่อนๆ ต่อไปอีกแล้ว แต่ผู้ที่มุ่งจะเอาผลประโยชน์โดยไม่ได้คิดสนใจศาสนาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อันได้แก่บรรดาพวกวัตุนิยม บริโภคนิยมทั้งหลายนั่นเอง ที่ถือเป็นตัวการสำคัญในการสร้างความขัดแย้งหรือ “การปะทะทางอารยธรรม” ระหว่าง “โลกตะวันตก” กับ “โลกอิสลาม” มาโดยตลอด...

พูดง่ายๆ ว่า...อารยธรรมแบบเป๊ปซี่-โคล่า แมคโดนัลด์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย ที่อาศัยอุดมการณ์แนวคิดแบบทุนนิยม เสรีนิยม เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน อันรวมศูนย์อยู่ใน “โลกตะวันตก” ซะเป็นหลัก มันมัก “ไปด้วยกันไม่ค่อยได้” กับอารยธรรมใดๆ ก็ตาม ที่ยังพอหลงเหลือความรู้สึกด้าน “จิตวิญญาณ” ติดปลายนวมไว้บ้างไม่ว่ามากหรือน้อย และนั่นเอง...จึงเป็นสิ่งที่นักคิดอย่าง “นายซามูเอล ฮันติงตัน” ได้เตือนเอาไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ว่ามันอาจนำมาซึ่งการปะทะขัดแย้งครั้งใหญ่ ระดับที่อาจทำให้ทุกๆ อารยธรรมสูญสลายหายไปเอาดื้อๆ และด้วยเหตุที่ “โลกอิสลาม” นั้น อาจถือเป็นโลกที่พยายามดำรงรักษา “จิตวิญญาณ” ตามแบบฉบับของตัวเองเอาไว้อย่างแน่นเหนียวเอามากๆ เมื่อเทียบกับศาสนาอื่นๆ หรือเมื่อเทียบกับอัตลักษณ์ความเป็นชาติ ประเพณีและวัฒนธรรม “อิสลาม” จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากด่านหน้าของ “การปะทะทางอารยธรรม” ที่ว่า...

และด้วยเหตุที่ “โลกตะวันตก” มักเข้าไปยุ่มย่ามกับ “โลกอิสลาม” มาโดยตลอด...ผลแห่งการกระทำหรือ “กรรม” ที่สร้างเอาไว้โลกอิสลาม มันจึงย้อนกลับ ทำให้บรรดา “ชาวมุสลิม” ไหลทะลักซึมซ่านเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ ในยุโรปรวมทั้งอเมริกา ชนิดที่สามารถสร้างความหงุดหงิดรำคาญให้กับพวก “ชาตินิยม” ในประเทศนั้นๆ หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เป็นผู้จุดชนวนความโมโหโกรธาให้กับประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” แห่งตุรกีรวมทั้งรัฐมนตรีแต่ละราย ว่ากันว่า...มี “มุสลิมชาวเติร์ก” เข้าไปสิงสถิตอยู่ไม่น้อยกว่า 400,000 ราย จนทำให้นักการเมืองชาตินิยมขวาจัด อย่าง “นายกีร์ต ไวล์เดอร์” หรือ “เกอร์ด วีลเดอร์” (Geert Wilders) สามารถหยิบมาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการหาเสียงลงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ ด้วยการแสดงท่าทีต่อต้านมุสลิมหรือ “Anti-Islam Crusade” ระดับคิดจะแบนคัมภีร์อัลกุรอานไปโน่นเลย ไม่ต่างอะไรไปจากผู้นำอเมริกาอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” จนต้องถูกขนานนามว่า “ทรัมป์แห่งเนเธอร์แลนด์” ไปด้วยประการละฉะนี้...

แต่แม้ว่า “นักต่อต้านมุสลิม” อย่าง “นายไวล์เดอร์” หรือ “วีลเดอร์” จะพ่ายแพ้ต่อนายกรัฐมนตรี “มาร์ค รัตต์” หรือ “มาร์ค รัตเตอร์” (Mark Rutte) ไปแล้วก็ตาม แต่ชัยชนะของ “นายมาร์ค” คราวนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นจากการเล่นบทเป็น “นักต่อต้านรัฐบาลตุรกี” แบบชนิดหัวชนฝา กรณีที่พยายามส่งรัฐมนตรีแต่ละรายเข้ามาหาเสียงกับชาวเติร์กในเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้เห็นดีเห็นงามกับแก้รัฐธรรมนูญตุรกีนั่นเอง ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวของพวกวัตถุนิยม บริโภคนิยม เสรีนิยม รวมทั้งพวกชาตินิยม จึงกลายเป็น “คะแนนเสียง” ทางการเมือง ที่พรรคการเมืองต่างๆ ในยุโรปตลอดจนอเมริกา จะนำมาใช้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ได้เสมอๆ และในขณะเดียวกันความโกรธ ความเกลียด และความกลัวเหล่านี้ ย่อมทำให้นักการเมืองอย่าง “นายเออร์โดกัน” ผู้หวังจะเป็นผู้นำแห่งโลกอิสลาม หวังขยายจักรวรรดิออตโตมานให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง จึงกลายเป็นผู้ที่พร้อมจะนำเอา “ศาสนา” มาใช้เป็นเครื่องมืออีกด้วยเช่นกัน “แนวรบแนวที่ 4” จึงเริ่มก่อรูปก่อร่างเพิ่มความตึงเครียดให้กับโลกที่เครียดๆ อยู่แล้ว ให้ยิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น