xs
xsm
sm
md
lg

พวกหนุนธรรมกายกลับลำ หวั่นถูกดึงเข้าก๊วนตายหมู่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทีมงานที่เคยหนุนธรรมกายกลับลำกันเป็นแถว สายสมเด็จช่วงฯ ส่งสัญญาณผ่านทนาย หลัง"หลวงพี่แป๊ะ"พระเลขาฯ รอดคดีเบนซ์หรู เช่นเดียวกับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เดินเรื่องสึกธัมมชโยให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ ขณะที่นักวิชาการสายที่เคยหนุนออกโรงตำหนิแนวทางของธรรมกาย คนในวงการชี้ งานนี้ทุกคนต้องเอาตัวรอดไม่งั้นตายหมู่
แม้ปฏิบัติการปิดล้อมวัดพระธรรมกาย 23 วันด้วยอำนาจของ มาตรา 44 จะไม่สามารถพบตัวพระธัมมชโย เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามหมายจับในคดีต่างๆ ได้ รวมทั้งปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษในครั้งนี้ อาจไม่เป็นที่ถูกใจของฝ่ายที่ต่อต้านแนวทางของวัดพระธรรมกาย ที่จู่ๆ มายกเลิกการตรวจค้น
แต่ในระหว่างนั้นได้มีการถอดสมณศักดิ์ของพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย และถอดสมณศักดิ์ของ พระราชภาวนาจารย์ หรือพระทัตตชีโว หลังจากที่ไม่มาเข้าพบพนักงานสอบสวน รวมทั้งออกหมายเรียกให้พระในชั้นปกครอง และพระที่ออกมาเคลื่อนไหวของวัดพระธรรมกาย ให้มารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่
พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแนวทางจากการใช้อำนาจรัฐ มาเป็นการใช้อำนาจทางสงฆ์เข้ามาดำเนินการแทน เมื่อ 10 มีนาคม 2560 ด้วยการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เดินเรื่องสึกพระธัมมชโย ตามกฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 และมอบหมายให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางเป็นต้นเรื่องดำเนินการ สั่งการลงไปตามลำดับชั้น

**สายสมเด็จช่วงฯ กลับลำ
แหล่งข่าวจากวงการพระพุทธศาสนากล่าวว่า “แม้ในขณะนี้จะยังไม่สามารถนำตัวพระธัมมชโย มาดำเนินคดีได้ แต่ในทางการปกครองของสงฆ์เรื่องได้เดินไปถึงขั้นตอนการสึกแล้ว และขณะนี้จะเห็นได้ว่าหลายภาคส่วนที่เคยให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยออกมาปกป้องและเดินไปในแนวทางเดียวกับวัดพระธรรมกาย ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปหลายราย”
เริ่มที่วงการสงฆ์ โดยเฉพาะสายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วงฯ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่เคยเป็นผู้ทำหน้าผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยบรรดาทนายความของวัด ได้ออกมาให้ความเห็นกรณีของวัดพระธรรมกาย
อย่างเช่น นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ได้ออกมาแสดงความเห็น เมื่อ 19 ธันวาคม 2559 ช่วงที่สื่อมวลชนเข้าไปทำหน้าที่ในวัดพระธรรมกาย แล้วมีลูกศิษย์ของวัดได้ติดตามและถ่ายภาพสื่อมวลชนโดยตลอดว่า ตั้งข้อสงสัยว่าการปิดกั้นและถ่ายภาพสื่อมวลชนในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ถือเป็นการแสดงความไม่บริสุทธิ์ของวัดหรือไม่ แม้จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย ไม่ถือว่าเป็นการคุกคาม แต่ไม่เหมาะสมที่จะกระทำ
สำหรับสมเด็จช่วงฯ มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษีรถเบนซ์หรู แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วงฯ และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ เมื่อเรื่องถึงชั้นการพิจารณาของอัยการ โดย 12 มกราคม 2560 อธิบดีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่า พระมหาศาสนมุนีรับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่า นายวิชาญ เสียภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้อง และให้ยุติการดำเนินคดีกับ พระมหาศาสนมุนี ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 (1) กรณีครอบครองรถโบราณช่วงแรก เนื่องจากคดีขาดอายุความ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความของหลวงพี่แป๊ะ ได้นำชาวบ้านจากจังหวัดนครสวรรค์ เข้าร้องทุกข์ต่อ พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เมื่อ 12 มีนาคม 2560 เพื่อกล่าวโทษต่อ พระเทพปริยัติเมธี (ฐิตพัฒน์ ญาณสิทธิพัฒน์) เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฐานบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ ถมคลองสาหร่าย จนชาวบ้านได้รับผลกระทบจำนวนมาก จากโครงการพุทธอุทยานนครสวรรค์ ทั้งนี้ จากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวได้บุกรุกคลองสาธารณประโยชน์ มีการถมดินสร้างบริเวณกลางคลองสาหร่ายความลึกประมาณ 6 เมตร
ทั้งนี้ เชื่อกันว่ากรณีดังกล่าวเป็นเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเคยมีการร้องเรียนกันไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ 24 มกราคม 2560 โดยทนายความคนเดียวกัน

**วัดใจพระชั้นปกครอง
ส่วนข้อกังวลในเรื่องของการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มอบหมายเรื่องสึกพระธัมมชโย ให้กับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนกลางดำเนินการอาจล่าช้า เนื่องจากเชื่อกันว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย แต่พบว่าเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้ส่งเรื่องดังกล่าวต่อไปยังพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีแล้ว คราวนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีการดึงเรื่องของพระธัมมชโยอยู่พอสมควร
“ตอนนี้ในสายของพระก็ต้องทบทวนกันให้ดี ว่าจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือดึงเรื่องกันไว้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นเรื่องการถอดสมณศักดิ์ของพระธัมมชโย และพระทัตตชีโว มาแล้ว หากยังปกป้องพระที่ทำผิดอยู่ ท่านก็อยู่ในสถานะที่เสี่ยงเช่นเดียวกัน”

**คนเคยหนุน-กลับหลังหัน
ขณะที่สายของนักวิชาการด้านพุทธศาสนา ที่มีการเสวนากันเมื่อ 13 มีนาคม 2560 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งเอเชีย (สพอ.) ได้กล่าวถึงกรณีของวัดพระธรรมกายว่า ต้องทบทวนการที่ให้ทุกคนมาเป็นธรรมกายนั้นไม่ถูกต้อง ต้องทบทวนคำสอนที่เป็นปัญหาว่า คำสอนนั้นผิดไปจากหลักคำสอนของพุทธศาสนาหรือไม่ ต้องทบทวนคำสอนเรื่องอภินิหาร เน้นร่ำรวย หรือการเชิญชวนให้บริจาคมากๆ ส่วนกรณีที่รัฐบาลมอบให้ฝ่ายสงฆ์พิจารณาทางวินัยว่ามีความผิดแค่ไหน จะถึงขั้นปาราชิกหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าถูกต้องแล้ว
ด้าน ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ.) กล่าวว่า วัดพระธรรมกายควรหันกลับมายึดหลักของพระธรรมวินัยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา และต้องปรับการบริหารจัดการวัดให้เกิดความพอดี เพราะที่ผ่านมาอาจถูกมองในเชิงพุทธพาณิชย์
คนที่ติดตามเรื่องวัดพระธรรมกายมาตลอด จะทราบดีว่า ดร.บรรจบ เป็นประธานสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และหนุนแนวทางของวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด อีกทั้งสมาพันธ์ฯเคยออกแถลงการณ์เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2560 แสดงความไม่เห็นด้วยการกับใช้ มาตรา 44 ในนามของ นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย แต่วันนี้กลับออกมาแนะนำให้วัดพระธรรมกาย ทบทวนเรื่องคำสอน
เช่นเดียวกับ ดร.เสถียร วิพรมหา ที่เคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ ได้ออกมาปกป้องวัดพระธรรมกายเสมอมา ก็เริ่มหันมาแสดงความเห็นให้หันมายึดหลักพระธรรมวินัย
ตอนนี้ทุกคนคงต้องหันมารักตัวเองเป็นหลัก คนที่เคยหนุนวัดนี้เลยต้องกลับหลังหัน เพราะคดีของวัดพระธรรมกายวันนี้ รัฐบาลเอาจริง หลังจากที่ปล่อยมาเนิ่นนาน บางรายก็เลือกที่จะนิ่งเงียบอย่าง พระเมธีธรรมาจารย์ เจ้าคุณประสาร ที่เคยสนับสนุนสมเด็จช่วงฯ ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็เลือกที่จะเงียบในเรื่องนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น